จากความสำเร็จที่ได้รับธุรกิจค้าส่งโบ๊เบ๊ และโรงแรมปริ้นพาเลซ ในย่านมหานาค ส่งผลให้ "กลุ่มทุนพรหมมหาราช" เดินหน้าขยายธุรกิจต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งธุรกิจที่ให้ความสำคัญยังคงเน้นไปที่ธุรกิจค้าปลีกประเภทศูนย์การค้าส่ง และธุรกิจโรงแรม
ปัจจุบันธุรกิจในเครือบริษัท พรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน มีธุรกิจหลักอยู่ 2 กลุ่ม คือ 1. ธุรกิจโรงแรม ประกอบด้วย โรงแรมปริ๊นพาเลซ และโรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ 2.ธุรกิจค้าปลีก ประกอบด้วย โบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ย่านมหานาค ศูนย์การค้าเดอะพาลาเดียว ช้อปปิ้ง (ประตูน้ำ) ศูนย์การค้าเมก้าพลาซ่า วังบูรพา และศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ รังสิต
สำหรับน้องใหม่ที่กำลังจะเตรียมความพร้อม เพื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการในต้นปี 2558 คือ ศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ รังสิต จากเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว บวกกับความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง จึงทำให้กลุ่มทุนพรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน เล็งเห็นโอกาสด้วยการเข้าซื้อซื้ออาคารเมอร์รี่คิงส์ รังสิต จากกลุ่มเจ้าของเดิม เพื่อพัฒนาอาคารเป็นศูนย์การค้าส่งเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา
หลังจากเข้าซื้อกิจการเรียบร้อย กลุ่มทุนพรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน ก็ได้เข้าปรับปรุงพื้นที่ของศูนย์การค้าเมอร์รี่คิงส์ รังสิต ทันที ภายใต้งบลงทุนรวมกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อจะทำเป็นศูนย์แฟชั่นค้าส่งเหมือนกับโบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ ย่านมหานาค เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าย่านรังสิตและใกล้เคียง รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ รังสิต อยู่ใกล้กับสนามบินดอนเมือง หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ในปลายปี 2558 ต่างชาติน่าจะเข้ามาท่องเที่ยวและค้าขายในประเทศไทยมากขึ้น
นายวัลลภ กมลวิศิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถาวรสินพัฒนา จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ รังสิต บริษัทในเครือพรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า จุดเด่นในด้านของการเป็นศูนย์การค้าส่งไลฟ์สไตล์ที่มีความครบวงจร เน้นเจาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยนักศึกษา และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง รวมไปถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่อยู่ในย่านรังสิตและใกล้คียง
สำหรับรูปแบบการทำของธุรกิจของศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ รังสิต จะแบ่งพื้นที่ทำธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่ค้าปลีกแบบขายขาด (เซ้ง) 30% และเช่า 70% โดยในส่วนของการปล่อยพื้นที่เช่าจะอยู่ที่ 1-3 ปี คิดราคาค่าเช่าอยู่ที่ 450 - 2,000 บาทต่อตร.ม. ขณะที่การขายขาดแบบมีโฉนดจะมีราคาอยู่ที่ 1.8 - 4 แสนบาทต่อ ตร.ม. ซึ่งขณะนี้บริษัทขายพื้นที่เช่าและขายขาดได้แล้วประมาณ 70% ของพื้นที่ค้าปลีกรวมกว่า 10,000 ตร.ม.
จากตัวอาคารที่สูงถึง 10 ชั้น หรือมีพื้นที่โครงการรวมกว่า 45,000 ตร.ม. ครอบคลุมพื้นที่ 5 ไร่ ของถนนพหลโยธินช่วงต่อถนนวิภาวดีรังสิต (ขาออก) บริษัท ถาวรสินพัฒนา ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายโซน เพื่อขายสินค้าหลากหลายประเภทรวมกว่า 800 ร้านค้า เช่น เสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องสำอาง สินค้าไอที สินค้าประดับยนต์ สินค้าโอทอป สินค้า D.I.Y. และศูนย์อาหาร food outlet เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ
ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีแรกของการดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ รังสิต บริษัท ถาวรสินพัฒนา จะเน้นไปที่การสร้างแบรนด์ของศูนย์การค้าให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งในส่วนของปี 2558 คาดว่าจะใช้งบในการทำการตลาดและทำกิจกรรมไม่ต่ำกว่า 15 - 20 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่อวันไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคน มีรายได้จากการขายขาดอยู่ที่ 700-800 ล้านบาท และมีรายได้จากค่าเช่า 5-6 ล้านบาทต่อเดือน โดยภายใน 6 - 7 ปี คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุน
นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ภาพรวมของแผนการดำเนินธุรกิจในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ บริษัทแม่ยังคงเน้นการดำเนินธุรกิจเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา ได้ซื้อกิจการหลายแห่งเข้ามาบริหาร ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าเดอะพาลาเดียว ช้อปปิ้ง(ประตูน้ำ) ศูนย์การค้าเมก้าพลาซ่า วังบูรพา โรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ และศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ รังสิต
จากความใหม่ที่แต่ละโครงการเพิ่งถือกำเนิดขึ้น ส่งผลให้กลุ่มทุนพรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน ต้องออกมาทำการตลาดอย่างหนัก เพื่อสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด ไม่ว่าจะเป็นตัวของธุรกิจค้าปลีกหรือศูนย์การค้าน้องใหม่ที่เพิ่งซื้อกิจการเข้ามาบริหาร โดยเฉพาะในตัวของธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกมีความรุนแรงมากขึ้น
สำหรับธุรกิจโรงแรมก็มีการแข่งขันที่รุนแรงไม่แพ้กัน แต่หากเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคา หรือบริการ ย่อมมีลูกค้าหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งกลุ่มทุนพรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน ถือว่าเดินมาถูกทาง เนื่องจากทำเลที่ตั้งของธุรกิจโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมปริ้นพาเลซ ย่านมหานาค หรือโรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ ถือเป็นทำเลที่มีผู้เล่นน้อย จึงทำให้โรงแรมทั้ง 2 แห่งได้ผลการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยเฉพาะโรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์
นายวัลลภ กล่าวอีกว่า จากผลการตอบรับที่ดีของธุรกิจโรงแรม บริษัทจึงมีแผนที่ปรับราคาห้องพักเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปัจจุบันโรงแรมปริ้นพาเลซ มีราคาห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2,000-2,500 บาทต่อคืน ส่วนโรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ มีราคาห้องอยู่ที่ประมาณ 3,500-4,000 บาทต่อคืน ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองสงบ ลูกค้าต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนการจองห้องพักเริ่มกลับเข้ามาอยู่ที่ประมาณ 80 - 90% เมื่อเที่ยบกับช่วงครึ่งปีแรกที่อัตราส่วนการจองห้องพักปรับตัวลดลงเหลือเพียง 30 - 40% เท่านั้น
หลังจากออกมาทำการตลาดในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจค้าปลีกในเครือมากขึ้น กลุ่มพรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน คาดว่าสิ้นปี 2558 จะทำให้มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,300 - 2,400 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2557 นี้ ที่คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,000 - 2,100 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ปี 2558 จะมีรายได้รวมเติบโตสูงถึง 20% คือ ในปีหน้าจะปรับราคาห้องพักโรงแรมเพิ่มขึ้น 10% และมีศูนย์การค้าใหม่เปิดให้บริการ
ปัจจุบัน ธุรกิจในเครือบริษัท พรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ประมาณ 70% ประกอบด้วยโรงแรมปริ๊นพาเลซ และโรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ ส่วนที่เหลืออีก 30% มาจากธุรกิจค้าปลีก ประกอบด้วย โบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ศูนย์การค้าเดอะพาลาเดียว ช้อปปิ้ง (ประตูน้ำ) ศูนย์การค้าเมก้าพลาซ่า วังบูรพา และศูนย์การค้าโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ รังสิต
แม้ว่าปีหน้าจะยังไม่มีการขยายธุรกิจใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากต้องการเน้นสร้างธุรกิจใหม่ให้ติดตลาด แต่ช่วงระหว่างที่รอเวลาลุยธุรกิจใหม่ บริษัท พรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน ก็ซุ่มเจรจาธุรกิจในหลายกิจการ เพื่อสร้างอาณาจักรธุรกิจโรงแรม และค้าปลีก ให้มีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก เพราะนับวันการแข่งขันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ เห็นได้จากผู้ประกอบการในหลายธุรกิจที่เริ่มผันตัวเองมาเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่หันมาเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ หน้าโครงการของตัวเอง เพื่อเอาใจลูกบ้าน หรือผู้ประกอบการรถยนต์ที่หันมาเปิดตัวคอมมูนิตี้มอลล์ต่อยอดธุรกิจ เพื่อดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มเติม ซึ่งที่กล่าวมายังไม่นับรวมผู้ประกอบการค้าปลีกยักษ์ใหญ่รายเดิมที่ยังคงเร่งเครื่องขยายธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง
ใครสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือด ถือว่า กระดูกเหล็กฝีมือดีเป็นอย่างยิ่ง
ข่าวเด่น