"ไทยพาณิชย์"แตะเบรกสินเชื่อรายย่อย เฝ้าระวังหนี้ครัวเรือน พร้อมตั้งทีมดูกฏหมายค้ำประกัน หวั่นกระทบเอสเอ็มอี พร้อมเปิดแผนธุรกิจปีนี้ โฟกัสสินเชื่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2558 ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ทั้งจากสหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ที่การเมืองและเศรษฐกิจยังคลุมเครือ โดยจะส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทย ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 เติบโตได้ราว 3.5 % จากปี 2557 ที่ทั้งปีอาจจะโตได้ราว 1 % ซึ่งผลจากเศรษฐกิจโลกทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งในภาคการท่องเที่ยวเองก็เริ่มเห็นผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของรัสเซีย ที่ถือว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักในพัทยาและภูเก็ต
ส่วนการดำเนินธุรกิจของธนาคารในปี 2558 จะเข้มข้นมากขึ้น มุ่งเน้นไปที่สินเชื่อของภาคธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อมเป็นหลัก ส่วนสินเชื่อรายย่อยที่เคยเติบโตได้ดีมาตลอด อาจจะต้องลดความหวือหวาลง จากภาวะปกติที่สินเชื่อรายย่อยจะเติบโตได้ในตัวเลข 2 หลัก ก็อาจจะเหลือการเติบโตในตัวในตัวเลขหลักเดียว ซึ่งก็เป็นไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจ และภาวะหนี้ครัวเรือน โดยธนาคารเองได้เฝ้าระวังในเรื่องนี้มาตลอด โดยกลุ่มที่ธนาคารมองว่าการเติบโตอาจจะต้องชะลอไป เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตและมีปริมาณการสร้างใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจจะต้องใช้เวลาในการระบายของเดิมไปก่อน ขณะที่กลุ่มรถยนต์ที่ผ่านมาก็มีการเติบโตมากแล้ว
ทั้งนี้ ในปีหน้าโจทย์สำคัญของการทำธุรกิจธนาคาร นอกจากเรื่องการเติบโตทางสินเชื่อแล้ว ยังมีเรื่องกฎหมายค้ำประกันใหม่ ที่จะมีผลในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งเป็นเรื่องที่ธนาคารให้ความสำคัญมาก และได้ตั้งทีมงานชุดพิเศษทำการศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากกฏหมายใหม่จะมีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อและในเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกค้าด้วย ซึ่งลูกค้าที่จะได้รับผลกระทบ คือ เอสเอ็มอี และกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ที่ต้องใช้ผู้ค้ำประกันในการขอสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม ธนาคารพร้อมที่จะทำธุรกิจภายใต้กฏหมายใหม่ตามกำหนดแน่นอน
นางกรรณิกากล่าวอีกด้วยว่า ส่วนแผนธุรกิจต่างประเทศของธนาคารในกลุ่มประเทศ CLMV จะพยายามสร้างเครือข่ายให้เต็มที่มากที่สุด ทั้งนี้แต่ละพื้นที่จะใช้โครงสร้างที่ต่างกัน ซึ่งขณะนี้กำลังขอทางการเวียดนามในการเข้าไปถือหุ้นในธนาคารร่วมทุนวีนาสยาม เต็ม 100 % ที่ปัจจุบันยังเป็นธนาคารร่วมทุนกับอีก 2 ราย ซึ่งตลาดเวียดนามค่อนข้างใหญ่ การเข้าไปทำธุรกิจเองเต็มรูปแบบจะสะดวกมากขึ้น ซึ่งหากทางการเวียดนามอนุมัติก็คงต้องเจรจากับผู้ถือหุ้นที่เหลือเพื่อเสนอราคาที่เหมาะสม
ส่วนธุรกิจในกัมพูชา ธนาคารก็มีธนาคารในเครือข่ายอยู่แล้ว คือ ธนาคารกัมพูชาพาณิชย์ ขณะที่เมียนมาร์เอง ธนาคารยังต้องการเปิดสาขาอยู่ หากทางการอนุญาติ แต่ปัจจุบันธนาคารก็ปล่อยสินเชื่อในเมียนมาร์บ้างแต่เป็นการให้สินเชื่อจากประเทศไทยเข้าไปทำธุรกิจในเมียร์มาร์
ข่าวเด่น