บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ 6M1 (KFFAI6M1) อายุประมาณ 6 เดือน เสนอขายระหว่างวันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2558 เหมาะกับนักลงทุนที่มิใช่รายย่อย และผู้ที่มีเงินลงทุนสูง ลงทุนขั้นต่ำ 510,000 บาท ประมาณการณ์ผลตอบแทน 2.60% ต่อปี
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด หรือ KSAM เปิดเผยว่า “บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ 6M1 (KFFAI6M1) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคาร China Construction Bank (สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 22% เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน สาขามาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 21% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Akbank T.A.S. (ตุรกี) สัดส่วนการลงทุน 19% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Isbank (ตุรกี) สัดส่วนการลงทุน 19% และตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Vakifbank (ตุรกี) สัดส่วนการลงทุน 19% ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.60% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป”
กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ต่างประเทศเอไอ 6M1 (KFFAI6M1) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มิใช่รายย่อยและผู้ที่มีเงินลงทุนสูง ที่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และต้องการล็อคผลตอบแทนโดยสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน
สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้โลกนั้น ธนาคารกลางเดนมาร์กประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 3 สัปดาห์ สู่ลบร้อยละ 0.75 จากลบร้อยละ 0.5 เพื่อปกป้องค่าเงินโครนเดนมาร์กที่ผูกติดอยู่กับค่าเงินยูโร ในขณะที่ธนาคารกลางรัสเซียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 2 สู่ร้อยละ 15 และมีมุมมองว่าเศรษฐกิจอาจหดตัวซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของราคาน้ำมันและการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก ในส่วนของธนาคารกลางจีนได้ประกาศลดอัตราการกันสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ลงร้อยละ 0.5 สู่ร้อยละ 19.5 เพื่อป้องกันปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่จะเกิดเงินฝืด”
"ในส่วนของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.00 – 0.17 โดยที่อัตราผลตอบแทนตราสารระยะยาวเพิ่มขึ้นมากกว่า สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยแกว่งตัวในกรอบแคบๆร้อยละ 0.01 – 0.03 โดยที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะกลางเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นและยาว ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 3.5 ในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน"นายฉัตรพี กล่าว
ข่าวเด่น