วิริยะประกันภัย ประกาศนโยบายการดำเนินงานปี 2558 “ปีแห่งความเชื่อถือได้” ด้วยการพัฒนาระบบเทคโนโลยีการบริการอย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และผู้เอาประกันภัยพึงพอใจสูงสุด เผยผลประกอบการปี 57 เบี้ยประกันภัยรับรวม 33,368 ล้านบาท ด้านฐานะการเงินโชว์ความแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์ 58,764 ล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนอยู่ที่ 13,775 ล้านบาท หรือ 225.48% เกินค่ามาตรฐานที่ภาครัฐกำหนด
นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมประกันภัยในปี 2558 คงกลับมาอยู่ในภาวะคึกคักอีกครั้งหนึ่ง เพราะมีปัจจัยบวกหลายด้านช่วยสนับสนุน โดยปัจจัยที่มีผลมากที่สุดคือ การเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะมียอดขายภายในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ล้านคันต่อปี รวมไปถึงในปีนี้เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่เสรีประชาคมอาเซียน ซึ่งปริมาณการเคลื่อนย้ายของคน และการขนส่งสินค้าข้ามแดนจะมีมากขึ้น จึงคาดการณ์ได้ว่าอุตสาหกรรมประกันภัยในปี 2558 จะเติบโตประมาณ 7%
"โจทย์สำคัญที่จะต้องทำในปี 2558 บริษัทฯ คงต้องต่อยอดความเชื่อมั่นของลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางการค้า ให้กลายเป็นความเชื่อถือให้ได้ ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องดำเนินการก็คงยังเป็นการให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพการให้บริการสินไหมดแทนเป็นอันดับแรก โดยจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ เริ่มทดลองใช้ระบบงานสินไหมแบบอัจฉริยะ หรือ VIB Smart Claim ในเขตพื้นที่กทม.และปริมณฑล ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ไม่ว่าการเข้าไปถึงจุดเกิดเหตุได้เร็วขึ้นกว่าเดิม การดูแลลูกค้าได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น รวมไปถึงสามารถได้ข้อมูลและความรู้สึกที่แท้จริงของลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการ ดังนั้นในปีนี้บริษัทฯจะนำเอาโมเดลการให้บริการในรูปแบบใหม่นี้ไปใช้ในหัวเมืองหลักตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วไทย”นายสยมกล่าว
นายสยมกล่าวต่อไปว่า อีกบริการหนึ่งที่ถือว่าเป็นนวัตกรรมในอุตสาหกรรมการซ่อมรถยนต์ คือ การนำเทคโนโลยีที่เรียกว่า " Quick Repair" มาใช้ในศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัย ซึ่งอยู่ระหว่างการทำทดสอบเพื่อใช้งานจริง
"บริษัทฯตระหนักดีว่า การรับประกันภัยรถยนต์เป็นการประกันภัยที่บริหารจัดการยากที่สุด เพราะมิใช่มีแต่จะซ่อมรถยนต์หรือซ่อมทรัพย์สินที่เสียหายเท่านั้น แต่ต้องส่งมอบให้คนรับได้รับกลับมาอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นการซ่อมใจด้วย"นายสยมกล่าว
สำหรับศูนย์ปฎิบัติการสินไหมทดแทนและสาขาที่มีอยู่ทั่วไทยกว่า 140 แห่งนั้น บริษัทฯได้เพิ่มศักยภาพในการบริการอย่างครบวงจร โดยเฉพาะการให้อำนาจการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ และมีระบบเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกันทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อใช้บริการได้ในทุกที่ โดยไม่ต้องคำนึงว่าเป็นศูนย์ฯหรือสาขาที่ตั้งอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่ นอกจากเพิ่มศักยภาพในการให้บริการอย่างเชื่อมโยงแล้ว บริษัทฯยังได้ขยายศูนย์ปฎิบัติการสินไหมทดแทนแบบครบวงจรอยู่ตลอดเวลา โดยล่าสุดได้เพิ่มศูนย์ฯขึ้นอีก 5 แห่ง คือ ศูนย์กาญจนาภิเษก , ศูนย์ฯเทพารักษ์ , ศูนย์ฯบึงกาฬ, ศูนย์ฯบุรีรัมย์ และศูนย์ฯธัญญบุรี
ด้าน นายอานนท์ โอภาสพิมลธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานด้าน Non-Motor บริษัทฯจะขยายการให้บริการประกันภ้ัย นอกเหนือจากการประกันภัยรถยนต์เข้าไปสู่ลูกค้าที่บริษัทฯมีอยู่หลายล้านคนให้มากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ียงหลักที่สำคัญ อาทิ การประกันภัยสุขภาพ ซึ่งนับวันการบริการทางการแพทย์มีการพัฒนามากขึ้น มีต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลก็จะเป็นความเสี่ยงภัยที่สำคัญสำหรับทุกครัวเรือน รวมถึงลูกค้าของบริษัทฯทั้งหมดด้วย การประกันสุขภาพที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลูกค้าของบริษัทฯ
ในปีนี้จากการที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสัญญาค้ำประกันบริษัทที่มีการจ้างบุคลากรและต้องมีสัญญาให้มีผู้ค้ำประกันการทำงานของพนักงานในบางหน้าที่ ก็อาจมีความยุ่งยากมากขึ้น บริษัทฯจึงมีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมให้บริการ คือ การประกันภัยค้ำจุนลูกจ้าง ซึ่งจะให้ความคุ้มครองกรณีนายจ้างได้รับความเสียหายจากการกระทำของลูกจ้างนั้น จึงเป็นทางเลือกให้กับนายจ้างได้
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้ขยายบริการให้ครอบคลุมการประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วย เช่น การประกันการขนส่งสินค้า ซึ่งในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา การให้บริการของบริษัทฯในด้านนี้เติบโตขึ้นกว่า 20 เท่าตัว
"โดยภาพรวมการให้บริการด้านประกันภัย Non-Motor ของวิริยะประกันภัย มีผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการแก่ผู้เอาประกันมากกว่า 50 ผลิตภัณฑ์ สามารถให้บริการได้ในทุกสาขาของบริษัทฯ และให้บริการสินไหมทดแทนได้ครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว"นายอานนท์กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 2557 บริษัท วิริยะประกันภัย มีเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 33,368.29 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.79 % โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันรถยนต์ 30,513.03 ล้านบาท แยกเป็นภาคสมัครใจ 27,556.40 ล้านบาท ภาคบังคับ 2,956.63 ล้านบาท และงาน Non- Motor 2,855.26 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันอัคคีภัย 251.02 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 238.10 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 2,366.15 ล้านบาท
ข่าวเด่น