"เอสซี แอสเสท" ลุยบ้านระดับกลาง ราคา 3-5 ล้านบาท มั่นใจกำลังซื้อสูง แม้การแข่งขันจะรุนแรง ประกาศแผนลงทุนปีนี้ ผุด 7 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้แตะ 20,000 ล้านบาท ใน 5 ปี
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาทเป็นปีแรก โดยใช้แบรนด์ว่า "เพฟ" เพราะมองว่าแม้ว่าจะเป็นตลาดมีการแข่งขันสูงมาก แต่ก็ยังมีกำลังซื้อที่ดีอยู่ โดยบริษัทจะเน้นใช้จุดเด่นจากการเป็นแบรนด์พรีเมี่ยม เน้นคุณภาพให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบ้านราคาระดับใดก็ตาม คาดว่าจะสามารถสร้างฐานรายได้ให้บริษัทได้ 10-15% ในปี 2562
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนระยะ 5 ปีข้างหน้า ในการรักษาความเป็นอันดับ 1 ของตลาดบ้านราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป และรักษาอันดับ 1 ใน 5 ของตลาดบ้านราคา 5-15 ล้านบาท
โดยในปีนี้ มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 กว่าล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,660 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกจะเปิดตัว 2 โครงการ ในตลาดลักซ์ชัวรี่ คือ โครงการ กรานาดา ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม จำนวน 36 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 36 ไร่ ราคา 50-140 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,150 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้ชมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมนี้
โครงการที่จะเปิดใหม่อีกแห่ง คือ ‘โครงการ Saladaeng One’ คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ตั้งอยู่บนทำเลศาลาแดงซอย 1 พื้นที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งาน ขนาด 1-3 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่เริ่มตั้งแต่ 50 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยมากกว่า 280,000 บาทต่อตารางเมตร จำนวน 185 ยูนิต และ 2 พูลวิลล่า มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมได้ในเดือนพฤษภาคม 2558
ปัจจุบัน เอสซี แอสเสท มีโครงการต่อเนื่องที่เปิดขายทั้งหมด จำนวน 32 โครงการ มูลค่าโครงการคงเหลือเพื่อขายรวมประมาณ 22,930 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 24 โครงการ และโครงการแนวสูง 8 โครงการ พร้อมกับยอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 8,800 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ราว 44%
ในปี 2558 ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ของยอดรายได้ปีที่ผ่านมา และตั้งเป้ายอดขายที่ 13,000 ล้านบาท เติบโต 52% และในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2562 บริษัทจะมีรายได้ 20,000 ล้านบาท ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ข้อ ดังนี้ 1.ยุทธศาสตร์เชิงรุกในการลงทุน เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวในระดับพรีเมี่ยม และพร้อมที่จะรุกเข้าไปยังตลาดเซกเมนต์ระดับราคาใหม่ๆ ที่บริษัทยังไม่เคยเข้าไป
2.ยุทธศาสตร์เชิงรับ‘รีดไขมัน ไม่ลดคุณภาพ’ ด้วยการบริหารต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ 3.การรักษาคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ทั้งสินค้าและบริการ ควบคู่ไปกับการเติบโตของบริษัท 4.การมุ่งเน้นพัฒนาบุคลากร และสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการสร้างสรรค์และใส่ใจ และ 5.คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง
ปีนี้มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเติบโต 5-10% แต่ตลาดที่จะโตมากที่สุดคือ บ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียมที่มีราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะเป็นตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือน อีกทั้งยังมีกำลังซื้อที่ดี โดยเฉพาะในกทม.และปริมณฑล แต่ในส่วนของตลาดต่างจังหวัดนั้น ยังมองว่าค่อนข้างชะลอตัว ซึ่งบริษัทยังไม่มีแผนที่จะไปลงทุนเพิ่มเติมจากที่เคยลงทุนไว้แต่อย่างใด ขณะนี้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ 5,200 ล้านบาท และวางงบลงทุนก่อสร้างไว้อีก 7,800 ล้านบาท
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา มีบริษัทต่างชาติหลายราย ทั้งจากเอเชียและสหภาพยุโรป สนใจที่จะเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับบริษัท ซึ่งมีหลายทางเลือก โดยเฉพาะชาวอังกฤษที่สนใจชวนบริษัทไปลงทุนโครงการแนวสูงในอังกฤษ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจา
ข่าวเด่น