ยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดสำหรับตลาดชาเขียว ซึ่งหน้าร้อนปีนี้ 2 ค่ายหลักอย่าง อิชิตัน และ โออิชิ ยังคงฟาดฟันในด้านของการทำโปรโมชั่นชิงรางวัลเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าสนใจสำหรับปีนี้ คือ ทั้ง 2 ค่ายต่างออกมาอัดกลยุทธ์แจกรถแบบเสียเงินได้เสียหน้าไม่ได้ เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดชาเขียวมาเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุด
ศึกครั้งนี้ เปิดเกมด้วยการที่ค่ายอิชิตัน ออกมาประกาศกลยุทธ์การตลาดเมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา ด้วยการออกมาใช้งบ 200 ล้านบาท จัดแคมเปญ “อิชิตัน รหัสรวยเปรี้ยง ภาค 4” แจกรถเบนซ์ 50 คัน 50 วัน ทุกวัน ซึ่งถือเป็นมูลค่ารางวัลที่สูงที่สุดของการชิงโชคก็ว่าได้ แบ่งเป็นรถเบนซ์ SLK 200 ซูเปอร์คาร์ ราคา 3.69 ล้านบาทต่อคัน จำนวน 3 รางวัล และรุ่น CLA 180 จำนวน 47 คันราคา 2.39 ล้านบาทต่อคัน รวมมูลค่ากว่า 123.4 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม - 21 พฤษภาคม ศกนี้ โดยกด * 711 * ตามด้วยรหัสใต้ฝา หรือในกล่องของเครืออิชิตัน ตามด้วยสี่เหลี่ยมแล้วโทร.ออกฟรีทุกเครือข่าย เพื่อผลักดันให้มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปกติไม่ต่ำกว่า 20-30%
ในวันเดียวกันค่ายโออิชิก็ออกมาตอบโต้ทันที ด้วยการออกมาประกาศจับมือกับโยโยต้าและยามาฮ่า จัดโปรโมชั่น “รหัสโออิชิ ซิ่งทั่วไทย”ด้วยการแจกรถโตโยต้า ยาริส ระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-I รุ่น J จำนวน 50 คัน และ ยามาฮ่า ฟีโน่หัวฉีด จำนวน 550 คัน รวมเป็นจำนวน 600 คัน รวมมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการจับรางวัลด้วยจำนวนรางวัลสูงสุดถึง 220 คันในการจับรางวัลครั้งสุดท้าย เพียงส่งรหัสใต้ฝา หรือกล่องผลิตภัณฑ์ในเครือโออิชิ ได้แก่ โออิชิ กรีนที, โออิชิ แบล็คที, โออิชิ โอเฮิร์บ และโออิชิฟรุตโตะ ได้จาก 3 ช่องทาง ได้แก่ 1) SMS (ส่งฟรีทุกเครือข่าย) มาที่ *494* ตามด้วยรหัสใต้ฝา หรือกล่องผลิตภัณฑ์ และเครื่องหมาย # 2) www.oishidrink.com และ 3) Mobile Application
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตันกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การออกมาจัดแคมเปญ “อิชิตัน รหัสรวยเปรี้ยง” ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักทางการตลาดประจำปีของอิชิตันที่ไม่เพียงผลักดันยอดขายของอิชิตันให้ถึงเป้าหมาย แต่ยังช่วยกระตุ้นตลาดชาพร้อมดื่มทั้งระบบให้ขยายตัวได้ถึง 15,400 ล้านบาท ซึ่งปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถผลักดันให้ตลาดชาพร้อมดื่มเติบโตขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 15% ได้อย่างแน่นอน
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ปีนี้ อิชิตัน เลือกของรางวัลเป็นรถเบนซ์หรูมากถึง 50 คัน เพราะมั่นใจว่า เมอร์ซิเดส เบนซ์ คือ รถในฝันอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภควงกว้าง เป็นรถหรูที่คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ปรารถนาจะได้ครอบครอง การเพิ่มรางวัลใหญ่เป็นรถเบนซ์มากถึง 50 รางวัล คือ การสร้างโอกาสที่มากขึ้นให้กับผู้บริโภคได้ร่วมลุ้นทุกวัน ส่วนองค์ประกอบของแคมเปญอื่นๆ ยังคงไว้เหมือนเดิม เช่น การส่งรหัสใต้ฝาฟรีทุกเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ไม่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นการอำนวยความสะดวกทุกประการกับผู้บริโภค
หลังจากออกมาทำกิจกรรมดังกล่าว อิชิตันมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันรายได้ให้ไปถึงเป้าหมายที่ 7,500 ล้านบาท ในสิ้นปี 2558 นี้ ได้อย่างแน่นอน แบ่งเป็นรายได้มาจากชาเขียว 50% และแบรนด์เย็นเย็น 50% ซึ่งนอกจากจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องแล้ว อิชิตัน ยังมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาพร้อมดื่ม หรือกลุ่มน้ำสมุนไพรเย็นเย็น
ปัจจุบัน โรงงานอิชิตันมีกำลังการผลิตถึง 1,000 ล้านขวด และ 200 ล้านกล่อง ต่อปี และกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ล้านขวด อันเป็นการเพิ่มศักยภาพในการบริหารต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคอาเชียน และยังสามารถรองรับการรับจ้างผลิตเครื่องดื่ม (OEM) ที่หลากหลายไม่จำกัดประเภท การเพิ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ไบเล่เข้ามาในพอร์ต การผลิตเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ รวมไปถึงการจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อเปิดตลาดประเทศอินโดนิเซีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน
นายตัน กล่าวปิดท้ายว่า ภาคธุรกิจไทยต้องสร้างฐานที่มั่นและความแข็งแกร่งให้พร้อมที่สุด เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเปิดขึ้นในปลายปีนี้ ซึ่งในส่วนของบริษัทได้เตรียมความพร้อมทั้งในด้านของการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต และแนวคิดทางการตลาดใหม่ๆ ไว้พร้อมแล้ว เพื่อขยายตลาดสู่อาเซียน ซึ่งจะมีผู้บริโภคมากกว่า 600 ล้านคนเป็นเป้าหมาย
ด้าน นางเจษฎากร โคชส์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการทำตลาดของเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิในช่วงซัมเมอร์นี้ จะเน้นการทำตลาดผ่าน 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1.ซัมเมอร์โปรโมชั่น “รหัสโออิชิ ซิ่งทั่วไทย” แบบจัดเต็มจัดหนัก โดยได้จับมือกับสองพันธมิตรค่ายรถชั้นนำจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแบรนด์รถยอดนิยมอันดับหนึ่งของคนไทย คือ ‘โตโยต้า’ และ ‘ยามาฮ่า’ ดังนั้นโออิชิ จึงได้จัดกองทัพรถจำนวนมากถึง 600 คัน มาเป็นของรางวัลให้กับลูกค้าของโออิชิ เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสสูงขึ้นในการลุ้นเป็นเจ้าของรถ และยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งในการจับรางวัล ด้วยจำนวนรางวัลสูงสุดถึง 220 คันในการจับรางวัลครั้งสุดท้าย
ส่วนกลยุทธ์ที่ 2 ที่จะนำมาใช้ คือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ลิมิเต็ดเอดิชั่น "โออิชิ กรีนที รสแตงโม" ที่มีให้ดื่มเฉพาะซัมเมอร์นี้เท่านั้น กับชาเขียวรสแตงโม สดชื่นมีดีกับผลไม้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นราชาผลไม้ฤดูร้อนของชาวญี่ปุ่น ในแพ็คเกจจิ้งลายโพลก้าดอทสีแดงสดใสสะดุดตาเข้ามาทำตลาด ซึ่งหลังจากเปิดตัวสินค้าดังกล่าวเข้าทำตลาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พบว่าลูกค้าให้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี
นอกจากจะเน้นไปที่ 2 กลยุทธ์หลักดังกล่าว โออิชิยังหันมาสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้าและการทำโปรโมชั่นแจกรถในครั้งนี้ ด้วยภาพยนตร์โฆษณาชุด "กองทัพ" ที่ได้ซูเปอร์สตาร์หนุ่ม “หมาก-ปริญ สุภารัตน์” มารับบทเป็นแม่ทัพใหญ่ของโออิชิในการนำทัพของรางวัลกองทัพรถรวม 600 คัน มาชวนผู้บริโภคทั่วประเทศ ให้มาดื่มโออิชิและส่งรหัสเข้ามาร่วมลุ้นเป็นเจ้าของรถได้แบบง่าย ๆ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายถึง 3 ช่องทาง รวมถึงจัดกิจกรรมโรดโชว์ไปตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศตลอดซัมเมอร์นี้
ปัจจุบันตลาดรวมชาเขียวพร้อมดื่มมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 15,400 ล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลของเอซี นีลเส็น ระบุว่า สิ้นปี 2557 ที่ผ่านมา “อิชิตัน” มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 44% เพิ่มจากปี 2556 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 42% ส่วนอันดับ 2 เป็นของ “โออิชิ” มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 38% ตามด้วย “เพียวริคุ” มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 8% และ “ลิปตัน” มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 4%
แต่จากข้อมูลของโออิชิที่ให้ไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โออิชิมั่นใจว่าปัจจุบันยังคงนั่งเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มชาเขียวพร้อมดื่มไม่มีส่วนผสม(กรีนเพียว) ด้วยการมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 44% ขณะที่อันดับ 2 มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 32% เท่านั้น และจากการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โออิชิมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะยังคงเป็นผู้นำในตลาดชาเขียวพร้อมดื่มไม่มีส่วนผสม(กรีนเพียว)และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างแน่นอน
การแข่งขันที่เกิดขึ้นดังกล่าวถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปีนี้เท่านั้น เชื่อว่าหลังจากจบช่วงซัมเมอร์ ทั้ง 2 ค่ายคงจะมีกลยุทธ์อะไรออกมากระตุ้นยอดขายในช่วงโลว์ซีซั่นอย่างแน่นอน ซึ่งนอกจากจะแข่งขันกันในประเทศที่ดุเดือดในเร็วๆ นี้ เชื่อว่าตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนทั้ง 2 ค่ายจะยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดเช่นกัน เพราะต่างฝ่ายต่างออกมาแย้มไต๋พร้อมกับเปิดตัวพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อรุกตลาดต่างประเทศกันเป็นระยะ
งานนี้ ใครจะล้ำเส้นเป็นผู้ชนะ คงต้องวัดฝีมือความเก๋ากันอีกม้วนใหญ่ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างงัดไม้เด็ดออกมาโชว์ ไม่ว่าจะแข่งขันกันรุนแรงอย่างไร ฝ่ายไหนจะได้กำไร และฝ่ายไหนจะขาดทุน คงไม่สามารถวัดผลได้ในขณะนี้ แต่ที่ได้ประโยชน์และเห็นผลทันทีถ้าเบาหวานไม่ขึ้นกันเสียก่อน ก็คือ ผู้บริโภคนั่นเอง.
ข่าวเด่น