ก้าวเข้าสู่หน้าร้อนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อย จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในตลาดเครื่องปรับอากาศต่างตบเท้ากันออกมาเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่เข้าทำตลาด ซึ่งเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการและผู้บริโภคในปีนี้ คือ "อินเวอร์เตอร์" เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าอีกด้วย
จากความนิยมของการใช้เครื่องปรับอากาศรุ่นอินเวอร์เตอร์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความแตกต่างของราคาเครื่องปรับอากาศในรุ่นปกติและรุ่นอินเวอร์เตอร์เริ่มมีช่องว่างน้อยลง โดยในอีก 2-3 ปีข้างหน้า คาดว่าราคาของเครื่องปรับอากาศในรุ่นอินเวอร์เตอร์จะสูงกว่ารุ่นปกติเพียง 15-20% จากปัจจุบันมีราคาต่างกันที่ประมาณ 30%
นายทากาโยชิ มิกิ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศในปีนี้ คาดว่าจะยังมีการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากแนวโน้มสภาพอากาศในปีนี้ เป็นใจต่อการทำตลาดเครื่องปรับอากาศ ประกอบกับเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวคาดว่าตลาดรวมเครื่องปรับอากาศในด้านของจำนวนยูนิตปีนี้จะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านเครื่อง เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มีอัตราการเติบโตเพียง 5% เท่านั้น
สำหรับแนวทางการแข่งขันในปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากปีที่ผ่านมา คือ แข่งขันในด้านของการลดราคาน้อยลง แต่จะหันมาทำตลาดในด้านของนวัตกรรมสินค้าอินเวอร์เตอร์แบบประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการในกลุ่มสินค้าประหยัดพลังงาน
นายบัณฑิต ศรีวัลลภานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้เปิดตัวเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็นอาร์ 32 มาตั้งแต่ต้นปี 2557 ด้วยการเปิดตัว “ไดกิ้น อูรุซาระ7” และรุ่นต่างๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2557 ลูกค้าให้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ จะหันมาเน้นทำอินเวอร์เตอร์ที่ใช้สารทำความเย็นอาร์ 32 มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวนอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดค่าไฟฟ้าอีกด้วย
นายสมพร จักรีนภาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2558 ผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศในกลุ่มอาร์ 32 ยังคงเป็นกลุ่มหลักที่บริษัทจะให้ความสำคัญในการทำตลาด ซึ่งล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ล่าสุด คือ "ไดกิ้น เอกิระ" เข้ามาทำตลาด เพื่อเสริมความแข่งแกร่งให้กับกลุ่มเครื่องปรับอากาศอาร์ 32 และเพื่อให้ลูกค้าสนใจในเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์และหันมาซื้อสินค้าดังกล่าวมากขึ้น บริษัทได้ทำโปรโมชั่นซื้อสินค้ารุ่นอินเวอร์เตอร์ในเราคาเดียวกับรุ่นปกติเป็นระยะเวลา 1 เดือน ตลอดเดือน มี.ค.นี้
นอกจากนี้ยังได้เตรียมงบการตลาดที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวจากปี 2557 ที่ใช้ไป 50 ล้านบาท เพื่อใช้ทำการตลาดในปีนี้ ขณะเดียวกันยังได้เตรียมงบอีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงศูนย์บริการและศูนย์จำหน่ายของไดกิ้นอีก 4-5 สาขา เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต และหาดใหญ่ ซึ่งหลังจากออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจบปีบัญชี 2558 ในเดือน มี.ค.2559 จะมีรายได้อยู่ที่ 9,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับรอบปีบัญชี 2557 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 25%
นายอดิศักดิ์ รัมมณีย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคร์เรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แคเรียร์ในฐานะผู้นำด้านระบบทำความร้อน ระบบปรับอากาศ และระบบทำความเย็น ล่าสุดได้ร่วมกับโตชิบา แคเรียร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศชั้นนำ ส่งเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน “โตชิบา Stable Power Inverter” หรือ SPI Series เข้าทำตลาด
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดเครื่องปรับอากาศในรุ่นอินเวอร์เตอร์มากขึ้น โดยในส่วนของแบรนด์โตชิบา จะเน้นทำตลาดเครื่องปรับอากาศอากาศในที่พักอาศัย และเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก ขณะที่แบรนด์แคเรียร์จะเน้นทำตลาดเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
ในส่วนของกลยุทธ์การทำตลาดปีนี้ จะเน้นไปที่ 7 กลยุทธ์ หรือ 7 wonders ประกอบด้วย w หรือ Weigh Lighter เน้นไปที่น้ำหนักที่เบากว่ารุ่นทั่วไป 52% O หรือ Ozone Friendly คือ การเป็นมิตรกับโอโซน N หรือ Noise Lower คือ เงียบสนิทกว่าหลับสบาย D หรือ Dimension Smaller คือ มีขนาดเล็กลง 40% E หรือ EER Higher คือ ประหยัดไฟกว่าด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ได้ค่า SEER สูงสุด 19.99 R หรือ Reliability คือ ทนทานกว่า ด้วยการเพิ่มระยะเวลารับประกันคอมเพรสเซอร์เป้น 7 ปี และรับประกันอะไหร่ 2 ปี สุดท้าย S หรือ Saving faster ฃคือ ประหยัดค่าไฟมากกว่า
จากกลยุทธ์ที่บริษัทแคเรียร์ออกมาประกาศดังกล่าว ทำให้มั่นใจว่าสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งสูงกว่าภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศที่คาดการณ์กันว่า สิ้นปีนี้มีอัตรามีการเติบโตอยู่ที่ 10% และมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มสินค้าอินเวอร์เตอร์เพิ่มเป็น 37% จากปัจจุบันทั้งแบรนด์โตชิบาและแคเรียร์มีส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าวน้อยมาก
ด้าน นายสิทเมธ อิ่มเอม หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ว่าปัจจัยเรื่องค่าไฟฟ้าและการประหยัดพลังงาน กลายเป็นประเด็นหลักในการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศของผู้บริโภคไทย ซึ่งจากแนวโน้มที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการในตลาดเครื่องปรับอากาศต้องหันมาชูจุดขายเรื่องการประหยัดพลังงานเป็นหลัก พร้อมกับชูจุดขายเรื่องของฟังก์ชั่น "แอ็กทีฟ เอเนอร์จี คอนโทรล" ซึ่งสามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 60%
สำหรับแนวทางการทำตลาดของแอลจีในปีนี้ จะเน้นทำตลาดเครื่องปรับอากาศในเซ็กเมนต์ประหยัดพลังงานอินเวอร์เตอร์เป็นตัวหลักในการทำตลาด พร้อมใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทาง อะโบฟเดอะไลน์ 60% และบีโลว์เดอะไลน์ 40% ทำตลาดสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมใช้งบลงทุน 120 ล้านบาท ลงทุนในส่วนของโรงงาน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์จากปีละ 1.2 ล้านเครื่อง เป็น 1.5 ล้านเครื่อง รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนน้ำยาเครื่องปรับอากาศ และรองรับการผลิตเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในอนาคต
หลังจากออกมาทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง แอลจีมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะสามารถเพิ่มยอดขายเครื่องปรับอากาศจาก 2.1 แสนเครื่อง หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท ในปี 2014 ขึ้นเป็น 3 แสนเครื่อง หรือคิดเป็นมูลค่า 4,000 ล้านบาท พร้อมกับมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20% เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 15% ขึ้นเป็นอันดับ 2 ของตลาดได้อย่างแน่นอน ซึ่งในจำนวนดังกล่าวหากคิดเฉพาะส่วนของอินเวอร์เตอร์คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 90,000 เครื่อง หรือคิดเป็นมูลค่าที่ประมาณ 1,600 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 25% เป็นอันดับ 1 ในตลาดเครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์
อากาศร้อนที่กำลังแพร่กระจายทั่วประเทศไทยในตอนนี้ น่าจะช่วยกระตุ้นให้เครื่องปรับอากาศในปีนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มอินเตอร์เตอร์ที่ปีนี้ผู้ประกอบการทุกค่าย ต่างออกมาทำตลาดกลุ่มสินค้าดังกล่าว แต่จะเติบโตเท่าไหร่และมีส่วนแบ่งเพิ่มแค่ไหน หลายคนยังไม่อยากฟันธง แต่มั่นใจว่าสัดส่วนของกลุ่มสินค้าอินเวอร์เตอร์สิ้นปีนี้ต้องเพิ่มขึ้นจาก 15% อย่างแน่นอน
ข่าวเด่น