การตลาด
สกู๊ป "เมเจอร์" ปักธงอีก 5 ปี กวาดรายได้ 2 หมื่นล้านบาท


ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์และธุรกิจในเครืออย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด(มหาชน) ผู้นำตลาดธุรกิจโรงภาพยนตร์ของไทย ซึ่งล่าสุดออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าในอีก 5 ปีนับจากนี้ต้องมีรายได้รวมของกลุ่มให้ถึง 20,000 ล้านบาทให้ได้  หลังจากก่อนหน้านี้ได้เคยประกาศไว้ว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท

ปัจจัยที่ทำให้บริษัท เมเจอร์ฯ มีความมั่นใจปรับเป้ารายได้ในอีก 5 ปีเป็น 20,000 ล้านบาทในครั้งนี้  ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากอานิสงส์การขยายตัวของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งนับจากปีนี้เป็นต้นไปถือว่าธุรกิจค้าปลีกมีการขยายตัวเป็นอย่างมากในทุกรูปแบบ

       
 
 
 
ขณะเดียวกันเจ้าพ่อธุรกิจโรงภาพยนตร์อย่าง "วิชา พูลวรลักษณ์"  ก็มีแผนที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในแถบ CLMV (กัมพูชา,ลาว,เมียนมาร์.เวียดนาม) หรือกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หลังจากเข้าไปทดลองทำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศกัมพูชาแล้วได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี

ล่าสุดออกมาแย้มแผนว่า ในปีนี้จะเข้าไปขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศลาว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าเร็วๆนี้น่าจะได้ข้อสรุป  ซึ่งเหตุผลที่ทำให้บริษัท เมเจอร์ฯ เลือกประเทศลาวเป็นประเทศที่ 2 ในการขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศเพื่อนบ้าน คือ ประชาชนชาวลาวชื่นชอบละครและภาพยนตร์ไทยเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวปีนี้ บริษัท เมเจอร์ฯ จึงใช้งบลงทุนสูงถึง 400-500 ล้านบาท  เพื่อสร้างภาพยนตร์ไทยจำนวน 12 เรื่อง ผ่าน 4 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท เอ็ม เตอร์ตี้ ไนน์ จำกัด (M39) บริษัท ทาเลนต์ วัน จำกัด บริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม จำกัด บริษัทเอ็ม พิคเจอร์  จำกัด  ซึ่ง 2 เรื่องในจำนวนดังกล่าวเป็นการร่วมทุนสร้างภาพยนตร์กับพันธมิตรในประเทศจีนและประเทศเกาหลี 

สำหรับแผนการขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ในปีนี้  บริษัท เมเจอร์ฯ มีแผนที่จะเปิดโรงภาพยนตร์ใหม่ 100 โรง ภายใต้งบลงทุน 1,500 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนสูงที่สุด เนื่องจากปกติจะเปิดโรงภาพยนตร์ใหม่เพียง 40 โรงเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวแต่บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

แนวทางการดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นการเดินไปตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาว่า ในอีก 5 ปีนับจากนี้จะต้องมีโรงภาพยนตร์เปิดให้บริการครบ 1,000 โรง แบ่งเป็นการเปิดให้บริการในประเทศไทย 900 โรง และในกลุ่มประเทศอาเซียน 100 โรง

 
 
 
 
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ในปี 2558 บริษัทมีแผนขยายสาขามากที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการมา 20 ปี  โดยจะใช้งบลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาโรงภาพยนตร์ให้ครบ 600 โรงในปลายปีนี้ จากปัจจุบันจำนวนสาขาเปิดให้บริการอยู่ที่ประมาณ 527  สาขา

โรงภาพยนตร์สาขาแรกที่เปิดให้บริการในปีนี้ บริษัท เมเจอร์ฯ ได้ส่งแบรนด์ใหม่ “ควอเทียร์ ซีนีอาร์ต (Quartier CineArt)” ตั้งอยู่บริเวณชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ (The EmQuartier)  บนพื้นที่กว่า 6,500 ตร.ม. ใช้งบลงทุนไปประมาณ 500 ล้านบาท มีโรงภาพยนตร์ให้บริการจำนวน  8 โรง รวม 1,440 ที่นั่ง  

นอกจากจะเปิดให้บริการในศูนย์การค้าหรูใจกลางกรุงเทพฯ แล้ว โรงภาพยนตร์ดังกล่าวยังมีจุดเด่นจากโรงภาพยนตร์ทั่วไป คือ เป็นโรงภาพยนตร์สุดล้ำเทรนด์ใหม่แห่งอนาคต เนื่องจากมีการรวบรวมเอาสุดยอดเทคโนโลยีความทันสมัยที่ผสานเข้ากับศิลปะไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการได้หลากหลายอรรถรสตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบความชิคแบบมีสไตล์

ขณะที่กลุ่มเป้าหมายหลักของโรงภาพยนตร์สาขาดังกล่าว จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับบีบวกขึ้นไป ซึ่งเป็น กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบโรงภาพยนตร์แห่งอนาคต เทคโนโลยีแห่งอนาคตโรงภาพยนตร์ รวมทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และชาวญี่ปุ่นที่พักอาศัยอยู่ในย่านสุขุมวิทเป็นจำนวนมาก

 
 
 
 
ด้วยจุดเด่นและจุดแข็งของ ควอเทียร์ ซีนีอาร์ต บริษัท เมเจอร์ฯ จึงได้พันธมิตรยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย 4 ราย ให้เข้ามาร่วมเป็นเนมมิ่งสปอนเซอร์ให้กับโรงภาพยนตร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สนับสนุนโรงภาพยนตร์ในชื่อ "TRUE Screen X" , บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สนับสนุนโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์ ในชื่อ "Toyota IMAX" , บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนโรงภาพยนตร์ในชื่อ "AEON Theatre @ Quartier" และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สนับสนุนโรงภาพยนตร์ในชื่อ "SCB First Screen"

นายวิชากล่าวว่า แต่ละโรงภาพยนตร์ที่พันธมิตรเข้ามาร่วมสนับสนุนเป็นเนมมิ่งสปอนเซอร์จะมีความแตกต่างกันไปในด้านของบริการ โดยในส่วนของ TRUE Screen X จะเป็นครั้งแรกของสุดยอดเทคโนโลยีโรงภาพยนตร์แห่งอนาคตในเมืองไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ใช้ระบบการฉาย 3 ทิศทาง ด้วยเครื่องฉายถึง 9 ตัว สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการชมภาพยนตร์แบบเต็มอรรถรส 270 องศา ครั้งแรกในเมืองไทยที่มีโรงภาพยนตร์ Screen X รองจากเกาหลีใต้ และอเมริกา

 
 
 
 
ขณะที่โรงภาพยนตร์  Toyota IMAX  จะเป็นครั้งแรกกับสุดยอดจอภาพรุ่นใหม่ Super Premium Screen ที่ให้ภาพสว่างสดใสกว่าเดิมถึง 10 เท่า พร้อมระบบเสียง Laser Surround Sound รอบทิศทาง พร้อมนำเข้าเก้าอี้แบรนด์หรูปรับเอนได้ 4 ระดับ ที่ถูกเลือกใช้ในทำเนียบขาวและสหประชาชาติมาให้บริการ

ส่วนโรงภาพยนตร์ AEON Theatre@Quartier จะเป็นครั้งแรกของโรงภาพยนตร์แห่งอนาคตในเมืองไทยที่ใช้เครื่องฉายระบบ Premium Laser Projector แห่งแรก ซึ่งให้ความคมชัดสว่างกว่าระบบฉายปกติถึง 20 เท่า พร้อมบริการ Private Lounge ให้ผ่อนคลายก่อนชมภาพยนตร์ ด้วยชุดอาหารว่างและเครื่องดื่ม Omotenashi Set ซึ่งเป็น Signature Menu ที่รังสรรค์ขึ้นมาโดยเฉพาะ ประกอบด้วยอาหารว่างสไตล์ Japanese Fusion พร้อมเครื่องดื่ม สาเกเย็น หรือ เบียร์ นอกจากนี้ ยังให้บริการเก้าอี้นวดไฟฟ้ารุ่นที่ดีที่สุด และ Ebook จาก iPad  ให้เลือกอ่านนิตยสารเล่มโปรด และพิเศษสุดกับบริการ Private Rest Room     

นอกจากนี้ โรงภาพยนตร์ ควอเทียร์ ซีนีอาร์ต ยังมีบริการ CineRobot  เป็นครั้งแรกของโรงภาพยนตร์ในเมืองไทยกับการให้บริการข้อมูลการชมภาพยนตร์ด้วยหุ่นยนต์ สามารถเต้นตามเพลงได้ สามารถถ่ายภาพและพริ้นท์ภาพ Selfie ได้

อีกหนึ่งบริการที่แตกต่างไปจากโรงภาพยนตร์อื่นๆ คือ การให้บริการ Qartier iTicket  เป็นครั้งแรกของโรงภาพยนตร์ในเมืองไทยที่ให้บริการถ่ายภาพลงบนหลังบัตรชมภาพยนตร์ในรูปแบบการ์ด โดยสามารถเลือกภาพ โปสเตอร์ภาพยนตร์ หรือ รูปของตัวคุณเอง พิมพ์ลงบนหลังบัตรชมภาพยนตร์เพื่อเก็บเป็นที่ระลึก

ปัจจุบัน เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มีโรงภาพยนตร์เปิดให้บริการทั้งหมด 78 สาขา รวม  527 โรง เป็นสาขาในเขตกรุงเทพและปริมณฑล 31 สาขา 296 โรง ต่างจังหวัด 46 สาขา (34จังหวัด) 224 โรง และ ต่างประเทศ 1 สาขา 7 โรง (กัมพูชา)  ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง บริษัท เมเจอร์ฯ มั่นใจว่า สิ้นปีจะมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ 15%         
 
 

บันทึกโดย : วันที่ : 07 เม.ย. 2558 เวลา : 07:57:18
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 10:40 am