"โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์" ถือเป็นนักแสดงขวัญใจแฟนๆ มีผลงานการแสดงต่างๆ มากมาย ซึ่งคราวนี้เขากลับมารับบท "โทนี่ สตาร์ค" หรือ"ไอรอนแมน" อีกเป็นครั้งที่ 5 ใน "Avengers: Age of Ultron" ซึ่งก่อนหน้านี้ ใน "The Avengers" เขาเองก็พยายามจะปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ ในทีม
ตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจ็กต์ ดาวนีย์ จูเนียร์ ก็รู้สึกชื่นชอบอะไรหลายๆ อย่างในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นผลงานการเขียนบทของ "จอส วีดอน" และ
วีดอน ก็ลงมือกำกับเองด้วย
"ใน "The Avengers" ภาคแรก โทนี่ สตาร์ค เริ่มทำงานเป็นทีมมากขึ้น และใน "Iron Man 3" เขาก็ได้ก้าวข้าม จากการพึ่งพาเทคโนโลยีที่พยุงชีพตัวเองมาได้ แต่มันมีเรื่องที่ยังจัดการไม่จบครับ มีภัยคุกคามที่ยังคงซ่อนเร้นอยู่ โทนี่ก็เลยต้องทุ่มเทความสนใจทั้งหมดของเขาไปกับแนวความคิดแบบ Star Wars ช่วงหลังยุคเรแกนนิดๆ น่ะครับ และเขาก็ชอบเรียกมันว่า อัลตรอน การเดินทางครั้งนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการพัฒนา ความซับซ้อน ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักทั้งหลาย ผมชอบที่ธอร์ไม่กินเส้นกับผมแล้วท้ายที่สุดก็ต้องบอกว่าผมคิดถูก มันเป็นเรื่องน่าสนใจ และลักษณะการปูพื้นเรื่องก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสุดๆ สำหรับผม แต่น่าแปลกที่สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับ 'Avengers: Age of Ultron' คือสิ่งที่ถูกนำเสนอในท้ายที่สุดครับ ครั้งนี้ผมรู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิดกับนักแสดงคนอื่นๆ และผมกับจอสก็เป็นเพื่อนรักกันครับ" ดาวนีย์ จูเนียร์ กล่าว
"กับสถานะของ โทนี่ สตาร์ค ในทีมอเวนเจอร์สครั้งนี้ ผมไม่รู้ว่ามีใครคนไหนในประวัติศาสตร์แฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร ที่ดูเหมือนจะมีเงินทองเหลือเฟือแบบนี้รึเปล่า เห็นได้ชัดว่าโทนี่มีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญคือเขาอยากจะปรับภาพลักษณ์ ดูแลและคอยบ่มเพาะกลุ่มเอเวนเจอร์ส ซึ่งเป็นหน่วยต่อต้านเหล่าร้ายที่จำเป็น และจัดหาทุกอย่างที่พวกเขาต้องการให้กับพวกเขา แล้วมันก็มีส่วนหนึ่งในตัวเขาที่ยังคงเป็นดีไซเนอร์ นักประดิษฐ์ วิศวกรและช่างเครื่องกล ที่อยากจะช่วยให้พวกของเขาทำอะไรต่อมิอะไรได้ดีขึ้นอีก ดังนั้นความสบายใจของเขาก็เหมือนกับคนที่ซื้อสโมสรฟุตบอล แล้วอยากให้พวกเขาเปลี่ยนยูนิฟอร์มใหม่ หาอุปกรณ์ที่ดีกว่าเดิมให้พวกเขา คอยคุ้มครองพวกเขาในสนามได้ดียิ่งขึ้นและทำให้พวกเขาแกร่งขึ้นและรวดเร็วขึ้นน่ะครับ"
ในภาพยนตร์มาร์เวล เรื่อง "Avengers: Age of Ultron" ตัวเขาเองหวังว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ
"ผมหวังว่าพวกเขาจะรู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้ เหมือนกับตอนที่พวกเขาไปดู "Iron Man 3" หรือตอนที่พวกเขาได้ดู "Captain America" หรือ "Thor"
ภาคล่าสุด และรู้สึกว่ามีอะไรต้องทำและต้องพูดอีกเยอะ หนังเรื่องนี้สนุกมาก และให้ข้อคิดอย่างเหลือเชื่อ มันมีธีมที่ยอดเยี่ยม มีตัวละครใหม่ๆ เอาเป็นว่าผมยอมรับในหนังเรื่องนี้ครับ ในหนังเรื่องนี้สิ่งที่ผมเองและทุกๆคนได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับตัวละครเหล่านี้ มันจำเป็นครับ ผมเติบโตขึ้นมาในยุค 80s และ 90s ในตอนที่แฟรนไชส์เริ่มสนใจในสิ่งที่ทำให้ตัวมันเองเวิร์คน้อยลงเรื่อยๆ โชคดีที่เราได้เห็นตัวอย่างมามาก พอที่เราจะเรียนรู้จากมัน และเราก็รู้ว่าเราต้องสร้างเรื่องให้ลึกซึ้งและกว้างขวางขึ้น เพราะผู้ชมอยากจะเกิดความพึงพอใจทางอารมณ์ และได้รับสิ่งประเทืองปัญญามากขึ้นครับ"
งานนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะดีแค่ไหน ถูกใจประชาชนแค่ไหน คงต้องไปพิสูจน์กันในโรงภาพยนตร์
ข่าวเด่น