ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนธุรกิจในเครืออย่างต่อเนื่องสำหรับกลุ่มมิตรผล แม้ว่าตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยจะประสบปัญหาทั้งปัจจัยลบทางการเมือง และปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ แต่กลุ่มมิตรผลก็ยังใช้งบก้อนโตขยายธุรกิจในเครือ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจน้ำตาล ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน หรือธุรกิจวัสดุทดแทนไม้ ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มมิตรผลได้ใช้งบลงทุนรวมไปกว่า 65,000 ล้านบาท
สำหรับปีนี้กลุ่มมิตรผลก็ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ภายใต้งบลงทุนรวม 18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่ใช้งบลงทุนไปเพียง 12,000 ล้านบาทเท่านั้น โดยในงบก้อนดังกล่าว แบ่งเป็นการลงทุนกลุ่มธุรกิจน้ำตาล 8,077 ล้านบาท ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 3,949 ล้านบาท และธุรกิจวัสดุทดแทนไม้ 2,905 ล้านบาท
นายกฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า ปัจจุบันแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีนัก แต่เศรษฐกิจไทยยังคงมีเสถียรภาพที่ดีอยู่ จากสถานการณ์ของบ้านเมืองที่มีความสงบเรียบร้อย รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวของรัฐบาล จะทำให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและนักลงทุนมีมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจไทยในภาพรวมกลับมาสดใสอีกครั้ง เราจึงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้ลงทุนกว่า 18,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจในเครือให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ทั้งนี้ การเดินหน้าขยายธุรกิจดังกล่าว ถือเป็นการเดินตามวิสัยทัศน์ของกลุ่มมิตรผล ที่ต้องการมุ่งสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและชีวพลังงานในระดับโลก โดยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการจัดการ ขณะเดียวก็มุ่งเน้นการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการสร้างงานให้กับชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีรายได้
อย่างไรก็ดี เพื่อให้แนวทางการดำเนินธุรกิจบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ดังกล่าว กลุ่มมิตรผลจึงได้วางกลยุทธ์ใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การเสริมความเป็นเลิศด้านการผลิต ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2.การพัฒนานวัตกรรมและสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ 3. การสร้างแบรนด์ที่มีความแตกต่าง และ 4. การขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากวางแนวทางดังกล่าว กลุ่มมิตรผลเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ทั้งหมดจะช่วยสร้างความแข็งแกร่ง และผลักดันให้กลุ่มมิตรผลยังสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
นายกฤษดา กล่าวต่อว่า ในด้านของการลงทุนในปี 2558 นี้ บริษัทยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนธุรกิจในเครือทุกกลุ่ม โดยในส่วนของกลุ่มธุรกิจส่งเสริมและพัฒนาอ้อย จะเน้นสนับสนุนงบประมาณ เพื่อเผยแพร่แนวทางมิตรผลโมเดิร์นฟาร์มในเขตส่งเสริมการปลูกอ้อยของกลุ่มมิตรผล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และเพิ่มผลผลิต รวมทั้งลดต้นทุนให้กับชาวไร่อ้อยได้มีอย่างประสิทธิภาพ
ขณะที่กลุ่มธุรกิจน้ำตาล จะเสริมความเป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออก โดยลงทุนขยายกำลังการหีบอ้อย ขยายกำลังการผลิตน้ำเชื่อม และการเสริมเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มคุณภาพสินค้าและความปลอดภัย รวมทั้งความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกโรงงาน ส่วนกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีแผนลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทยในระยะยาว และกลุ่มธุรกิจวัสดุทดแทนไม้ มีแผนลงทุนเพื่อเสริมความเป็นผู้นำของพาเนลพลัส ในตลาดวัสดุทดแทนไม้ระดับพรีเมียม
นอกจากนี้ ยังเน้นด้านการพัฒนาการวิจัยและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ กลุ่มมิตรผลให้ความสำคัญกับการค้นคว้าวิจัย เพื่อสร้างแต้มต่อทางธุรกิจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด ทั้งการลงทุนในศูนย์นวัตกรรมและการวิจัยมิตรผล 2 แห่งที่ภูเขียว และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย การคิดค้นเพื่อพัฒนามูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ (High Value Added) ในทุกกลุ่มธุรกิจ เช่น การพัฒนา Solution Partner ให้กับคู่ค้า การพัฒนาน้ำตาลชนิดพิเศษต่างๆ การติดตั้งโซล่าร์ รูฟท็อป การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมเอทานอลไปเป็นการผลิตปุ๋ยวิทยาศาสตร์คุณภาพสูง และผลิตภัณฑ์ไม้เคลือบเมลามีน เป็นต้น
ขณะเดียวกันก็จะใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการสร้างแบรนด์ ผ่านแคมเปญที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแตกต่าง เช่น กล่มธุรกิจน้ำตาลได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รณรงค์ให้ความรู้ด้านการบริโภคน้ำตาลตามโครงการ “หวานพอดี” และเตรียมที่จะเปิดตัว “แคมเปญเทสตี้ เฮลธ์ตี้” ความจริงใจที่มีต่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย ในส่วนของกลุ่มธุรกิจวัสดุทดแทนไม้ ได้สร้างความแตกต่างของแบรนด์ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า ทั้งเรื่องคุณภาพและการคิดค้นดีไซน์รูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ผลิตและลูกค้า รวมทั้งการออกบูธในงานเทรดโชว์ และการจัดกิจกรรมร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ ยังจะให้ความสำคัญในปีนี้ คือ การสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจในต่างประเทศ โดยในสาธารณรัฐประชาชนจีน กลุ่มมิตรผลได้ลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อยแห่งที่ 2 ขึ้นที่เมืองหนิงหมิง โดยขณะนี้ได้ขยายการทำไร่อ้อยแบบมิตรผลโมเดิร์นฟาร์มในเขตส่งเสริมการปลูกอ้อย การขยายสถานีขนถ่ายอ้อย เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งให้แก่ชาวไร่ การลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำตาลรีไฟน์ที่โรงงานน้ำตาลฝูหนาน รวมถึงการร่วมกับกลุ่มบริษัทศักดิ์สยาม ในการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยผสมคุณภาพสูงขึ้นที่เมือง หนิงหมิง มณฑลกวางสี เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยที่มีคุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในประเทศจีนแล้ว กลุ่มมิตรผลยังมีแผนที่จะลงทุนติดตั้งระบบชลประทาน Center Pivot อันทันสมัย 7 ตัว ที่โรงงานน้ำตาลในประเทศออสเตรเลีย เพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อยและป้องกันปัญหาในช่วงหน้าแล้ง อีกทั้งยังลงทุนโครงการเพิ่มผลผลิตอ้อยที่โรงงานเซาท์ จอห์นสตัน รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ในการทำไร่อ้อยแบบมิตรผลโมเดิร์นฟาร์มให้แก่เกษตรกรในประเทศลาวอีกด้วย
หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง กลุ่มมิตรผลมั่นใจว่า สิ้นปีนี้จะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 89,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 87,329 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 2556 ประมาณ 7% แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจน้ำตาล 42.8% กลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 17.8% กลุ่มธุรกิจวัสดุทดแทนไม้ 4.6% ธุรกิจส่งออก 38.9% และโลจิสติกส์ 1.2%
จากโอกาสทางธุรกิจที่ยังมีอยู่อีกมาก จึงทำให้กลุ่มมิตรผลมีแผนที่จะขยายธุรกิจเข้ามาในส่วนของชีวะเคมี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดและเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าว ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง กลุ่มมิตรผลคาดว่า สิ้นปี 2559 จะมีรายได้รวมถึง 1 แสนล้านบาท เร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้ว่าจะมีรายได้ถึง 1 แสนล้านบาทในปี 2560
นายกฤษดา กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจุบันกลุ่มมิตรผลเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลอันดับที่ 1 ของไทย และอันดับที่ 4 ของโลก นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลอันดับ 1 ในอาเซียน และเป็นผู้ผลิตเอทานอลอันดับ 1 ในเอเชีย ซึ่งหลังจากบริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ทั้ง 4 ด้าน เชื่อว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตของกลุ่มมิตรผลให้สามารถครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาล ชีวพลังงาน และก้าวไปสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในอนาคตได้อย่างเต็มภาคภูมิแน่นอน
ข่าวเด่น