มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมาก สำหรับผลการชกของคู่มวยแห่งศตวรรษ "ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์" กับ "แมนนี ปาเกียว" เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
หลายเสียงบ่น โดยเฉพาะมาจากฝ่ายที่เชียร์ปาเกียว เพราะเห็นว่า ปาเกียว เป็นฝ่ายตั้งใจมา "ชกมวย" มากกว่า ขณะที่เมย์เวทเธอร์ ขึ้นเวทีไปโชว์ "การเต้น และการหลบ" มากกว่า (แต่ในสถิติที่บันทึกไว้ ทั้งสองคนออกหมัดเป็นจำนวนใกล้เคียงกัน ซึ่งหลายคนก็ยังสงสัยว่าจริงหรือเปล่า)
อันที่จริง ถ้าใครที่เป็นแฟนมวย หรือเคยได้กิตติศัพท์ของ ฟอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ มาบ้าง ก็คงจะรู้ว่า เมย์เวทเธอร์
ไม่ใช่นักมวยประเภทชกเอาใจคนดู แต่ละไฟต์ เขาจะเน้นชกเกมรับ ไม่แลกหมัดให้เจ็บตัวโดยไม่จำเป็น เรียกได้ว่าเป็นนักมวยที่ค้ากำไรเกินควร แต่คนก็ยังติดตาม เพราะอยากรู้ว่าจะมีใครต่อยเขาโดน หรือต่อยเขาน็อกได้หรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องหงุดหงิดต่อไป เพราะไม่มีใครยัดเยียดความปราชัยให้เขาได้สักที (หลายคนอาจจะหมั่นไส้ในพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่น่ารักของเมย์เวทเธอร์ เป็นทุนเดิมด้วย เลยยิ่งหมั่นไส้เข้าไปใหญ่)
ดังนั้นจะว่าไป ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายเลยที่ เมย์เวทเธอร์ ชกกับ ปาเกียว ในแบบที่คุณๆ เห็นกันอยู่ ถ้าใครที่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนสไตล์การชกเป็นบู๊ล้างผลาญ แลกหมัดกับปาเกียว คงต้องบอกว่าเป็นได้แค่ฝัน แม้ว่าผู้ที่เคยชม เมย์เวทเธอร์ ชกเป็นประจำ จะบอกว่าไฟท์นี้เขาบู๊มากกว่าปกติแล้วก็ตาม
สิ่งที่ทำให้ เมย์เวทเธอร์ เป็นนักมวยค่าตัวแพงที่สุดในโลก ก็เพราะเขาทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ การชกเกมรับที่รัดกุม
และตอบโต้คู่ชกในจังหวะฉาบฉวยอย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ เข้าตาผู้ตัดสิน คือความสามารถพิเศษ และนั่นทำให้เขายังไม่แพ้ใคร และเป็นนักมวยที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก
อย่างไรก็ตาม ด้วยผลการตัดสินที่ขัดใจใครหลายคนในไฟต์นี้ ทำให้มีคนมองว่าอาจเป็นเรื่องของธุรกิจที่อาจจะจัดรีแมตช์ เรียกเงินคนดูอีกรอบ ก่อนที่ทั้งคู่จะแขวนนวมกันไป ( ทั้งปาเกียว และ เมย์เวทเธอร์ ก็ถือเป็นนักมวยอายุมากแล้วทั้งคู่ น่าจะชกอีกไม่กี่ไฟต์แล้ว) ซึ่งจะมีรีแมตช์หรือไม่ คงต้องติดตาม แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ผู้เขียนคงต้องบอกแฟนกีฬา (รวมถึงตัวเองที่เอาใจช่วยปาเกียวอยู่เช่นกัน) ว่าดูกีฬาเป็นความบันเทิง ใครชนะใครแพ้ ก็จะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
ข่าวเด่น