ปัจจัยลบรอบด้านที่ยังคงฉุดให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยอยู่ในภาวะซบเซาในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ส่งผลให้ขณะนี้บรรดาผู้ประกอบการสินค้าคอนซูเมอร์ต้องออกมาปรับแผนรุก เพื่อกู้ยอดขายให้กลับคืนมาโดยเฉพาะในช่วงเวลาครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นตัวชีวัดว่าภาพรวมผลประกอบการในสิ้นปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
กลยุทธ์ที่บรรดาผู้ประกอบการสินค้าคอนซูเมอร์ โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร และขนมขบเคี้ยว นำมาใช้ในปีนี้ ยังคงเน้นไปที่การเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็จะเน้นไปที่การขยายช่องทางการทำตลาดใหม่ๆ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย
นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมีแผนรุกตลาดผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลมากขึ้น ด้วยการขยายไลน์สินค้าสู่ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อปลาและเนื้อไก่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการทำตลาดในประเทศและต่างประเทศ
ขณะเดียวกันยังถือเป็นการปรับภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ ส.ขอนแก่น ซึ่งเดิมจะเน้นทำตลาดผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อหมูเป็นหลัก แต่หลังจากหันมารุกทำตลาดอาหารฮาลาลมากขึ้น เชื่อว่าจะสามารถปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ส.ขอนแก่น จากเดิมเป็นผู้เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อหมู ไปสู่ผู้ผลิตอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ครอบคลุมตั้งแต่ เนื้อหมู เนื้อปลา และเนื้อไก่
นอกจากนี้ ส.ขอนแก่น ยังมีแผนพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ในกลุ่มเมนูอาหารแปรรูปจากเนื้อปลาและเนื้อไก่และเร่งสื่อสารการตลาดสร้างการรับรู้เพิ่มเติม เพื่อรองรับแผนงานรุกขยายตลาดส่งออกไปยังลูกค้ามุสลิมในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เออีซี และจีน เพราะตลาดดังกล่าวเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยล่าสุดได้ใช้งบลงทุน 70 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานอาหารขบเคี้ยวที่ได้รับเครื่องหมายฮาลาล เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ คาดว่าภายในเดือน ส.ค.นี้ จะสามารถเริ่มทดสอบระบบได้
นายเจริญ กล่าวอีกว่า ผลิตภัณฑ์อาหารขบเคี้ยวจากเนื้อปลาและเนื้อไก่ ที่บริษัทได้เริ่มเปิดตัวเข้ามาทำตลาด จะยังคงใช้ยี่ห้อ ‘ออง-เทร่’ เนื่องจากแบรนด์สินค้าดังกล่าว มีความแข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักของลูกค้า ซึ่งในส่วนของตัวผลิตภัณฑ์จะมีด้วยกัน 2 รสชาติ คือ รสบาบีคิวและรสต้มยำกุ้ง ซึ่งหลังจากนำเข้าทำตลาดอย่างจริงจัง บริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสิ้นปีคาดว่าจะมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ 15%
นายอิทธิพันธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สาหร่ายเถ้าแก่น้อย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่าน่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และประเทศมีความสงบเรียบร้อย ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดี ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว เชื่อว่าจะส่งผลให้ภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยวในสิ้นปีนี้ เติบโตอยู่ที่ 10% สูงกว่าปีที่ผ่านมา ที่เติบโตเพียง 3% เท่านั้น
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเถ้าแก่น้อยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของการขยายช่องทางการทำตลาดใหม่ๆ และเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด ซึ่งเบื้องต้นมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดจำนวน 1 รายการ
ในส่วนของตลาดหลักที่จะเน้นเป็นพิเศษนับตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไป คือ อาเซียน เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า มีการบริโภคสาหร่ายเพียง 1 แผ่นต่อปีเท่านั้น น้อยกว่าคนไทย 5 เท่าที่บริโภคสาหร่าย 5 แผ่นต่อปี ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าว เถ้าแก่น้อย จึงมีแผนจะรุกตลาดอาเซียนเป็นพิเศษ ซึ่งกลุ่มประเทศที่ให้ความสนใจจะเข้าไปทำการตลาดเป็นพิเศษ คือ เวียดนาม พม่า ลาว และกัมพูชา เนื่องจากพบว่าทิศทางการบริโภคกำลังเติบโตสูง
ขณะเดียวกันก็จะขยายตลาดอเมริกาและยุโรปควบคู่กันไป แม้ว่าปัจจุบันตลาดดังกล่าวจะมีความผันผวนของอัตราการแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ส่วนธุรกิจในประเทศไทยปีนี้ก็มีแผนที่จะเกิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นอีก 1 รายการ โดยหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีรายได้ 3,000 ล้านบาท
นายวิทวัส พลไพศาล รองประธานกรรมการ บริษัท เฮอริเทจสแน็คแอนด์ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมชขบเคี้ยวประเภทถั่วและผลไม้อบแห้ง กล่าวว่า จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรก ส่งผลให้บริษัทต้องออกมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการขยายช่องทางการจำหน่าย ควบคู่ไปกับการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในส่วนของครึ่งปีหลังนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดจำนวน 5 รายการ เป็นแบรนด์สินค้าใหม่ 2 รายการ และแบรนด์สินค้าเก่ารสชาติใหม่ 3 รายการ
หลังจากเดินหน้ารุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 30% อย่างแน่นอน ส่วนภาพรวมผลประกอบการในปีที่ผ่านมา มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากในประเทศ 50-60% และต่างประเทศ 40-50%
ด้าน นายทวี ปิยะพัฒนา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี. ผู้นำด้านธุรกิจอาหารแปรรูปแช่แข็งจากปลาทะเล กล่าวา เป้าหมายในสิ้นปี บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เติบโตที่อยู่ที่ 15% ด้วยการเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ให้ครบอคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งในส่วนของตลาดต่างประเทศ บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ในส่วนของตลาดอาเซียน พี.เอฟ.พี.ก็มีความสนใจที่จะเข้าไปขยายธุรกิจเช่นกัน ด้วยการเริ่มทยอยส่งออกสินค้าต่างๆ เข้าไปทำตลาดในหลายประเทศ ภายหลังจากทดลองทำตลาดตามแนวชายแดนมาระยะหนึ่ง ซึ่งกลุ่มประเทศที่ให้ผลการตอบรับเป็นอย่างดีจากการนำสินค้าเข้าไปทำตลาด คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเชีย
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทพีเอฟพี มีส่วนแบ่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็งประมาณ 38% เป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปแช่แข็งจากปลาทะเล โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มภัตตาคาร ลูกค้าทั่วไป และร้านอาหารชั้นนำของไทย
การออกมาเปิดเกมรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศของผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร น่าจะส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังนี้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และพยุงให้แต่ละบริษัทมีรายได้เติบโตเป้นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนผลกำไรจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องวัดกันที่กลยุทธ์ เพราะล่าสุดแว่วมาว่า ขณะนี้แต่ละบริษัทยังคงต้องเฉือนเนื้อตัวเอง เพื่อพยุงรายได้ให้เข้าเป้า.
ข่าวเด่น