ยังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เข้าทำตลาดอย่างไม่หยุดนิ่ง สำหรับ บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงทำให้บริษัท ไฮคิวฯ ต้องเดินตามผู้บริโภคให้ทัน เพื่อให้สินค้าที่ผลิตเข้ามาทำตลาดตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันให้ได้มากที่สุด
ปัจจุบัน บริษัท ไฮคิวฯ มีแบรนด์สินค้าที่เข้าทำตลาดทั้งในและต่างประเทศอยู่ด้วยกัน 2 แบรนด์ คือ ไฮคิว แบรนด์สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ปลากระป๋อง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอส ส่วนอีกหนึ่งแบรนด์ คือ โรซ่า ปัจจุบันเป้นแบรนด์สินค้ากลุ่มปลากระป๋อง กลุ่มผลิตภัณฑ์ซอส และกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน
แต่แบรนด์สินค้าที่บริษัท ไฮคิวฯ จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดเป็นพิเศษในปีนี้ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปลากระป๋อง ภายใต้แบรนด์โรซ่า เนื่องจากปัจจุบันปลากระป๋องโรซ่ายังมีจุดอ่อนในด้านของตลาดต่างจังหวัด จึงทำให้ต้องหันกลับมาทำการตลาดในตลาดต่างจังหวัดอย่างจริงจัง เพื่อชิงส่วนแบ่งยอดขายจากปลากระป๋องสามแม่ครัว ซึ่งปัจจุบันครองตำแหน่งเจ้าตลาดภูธร
นายสุวิทย์ วังพัฒนมงคล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด กล่าวว่า จากผลการสำรวจตลาด พบว่า ตลาดหลักของแบรนด์โรซ่า และปลากระป๋องโรซ่าเป็นตลาดเมือง คือ กรุงเทพปริมณฑล และต่างจังหวัดในเขตเมือง ส่วนต่างจังหวัดเมืองรอง และเมืองขนาดเล็ก ปลากระป๋องโรซ่ายังมีจุดอ่อนอีกมาก บริษัทจึงต้องหันกลับมาทำตลาดต่างจังหวัดอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อสร้างให้ตลาดต่างจังหวัดมีความแข็งแกร่งเหมือนกับตลาดในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่
สำหรับกลยุทธ์หลักที่บริษัท ไฮคิวฯ จะหยิบมาใช้ เพื่อขยายฐานลูกค้าตลาดต่างจังหวัด คือ สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่แบรนด์โรซ่าทำตลาดในประเทศไทยมาหลายสิบปี บริษัท ไฮคิวฯ มีการสนับสนุนการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ มาโดยตลอด โดยในปี 2556 ที่ผ่านมา บริษัท ไฮคิวฯ ได้นำแบรนด์โรซ่า ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำอาหารพร้อมรับประทานของโรซ่า เข้าไปสนับสนุนให้นักกีฬาทีมชาติไทยมีอาหารเสริมหรืออาหารว่างเก็บไว้รับประทานในระหว่างการฝึกซ้อม และระหว่างการแข่งขันในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับจากสมาคมกีฬาต่างๆ และนักกีฬาเป็นอย่างดี
ส่วนแผนการทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ในปี 2558 นี้ บริษัท ไฮคิวฯ ได้เตรียมงบ 100 ล้านบาท ทำแคมเปญสื่อสารทางการตลาด ภายใต้ชื่อ “ปลากระป๋องโรซ่า เคล็ดลับจากแม่” พร้อมดึง “อแมนด้า คาร์” นักกีฬาจักรยานทีมชาติขวัญใจชาวไทย ที่กำลังเตรียมตัวเข้าชิงชัยในสนามโอลิมปิกส์ รับหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ สื่อสารแนวคิดปลากระป๋องโรซ่า คือ อาหารที่แม่เลือกให้ลูก กินแล้วแข็งแรงแบบนักกีฬา ผ่านการสื่อสารแบบครบวงจร ทั้งสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ สื่อ ณ จุดขาย มีเดียออนไลน์ต่างๆ และกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
นายสุวิทย์ กล่าวว่า เหตุผลที่เลือก “อแมนด้า คาร์” เป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น เนื่องจาก อแมนด้า คาร์ เป็นนักกีฬาที่เป็นที่รู้จัก สามารถตอบทิศทางการทำสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งของแบรนด์ นอกจากนี้ ตัวตนของอแมนด้ายังเป็นความผสมผสานระหว่างความเป็นคนอีสานและเป็นคนไทยที่โตในต่างประเทศ จึงสามารถจะเข้าถึงคนได้ในวงกว้าง และเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนปลากระป๋องโรซ่าได้อย่างลงตัว
ขณะเดียวกันก็จะเดินหน้าขยายช่องทางการทำตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย โดยเฉพาะช่องทางร้านค้าทั่วไป หรือ เทรดดิชั่นนอลเทรด เพราะปัจจุบันบริษัท ไฮคิวฯ สามารถนำปลากระป๋องโรซ่าเข้าไปทำตลาดผ่านช่องทางร้านค้าทั่วไปได้เพียง 65-70% จากจำนวนร้านค้าทั่วไปที่มีอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งหลังจากขยายช่องทางจำหน่ายดังกล่าวเพิ่มขึ้น คาดว่าสิ้นปีจะมีสัดส่วนการขายผ่านช่องทางร้านค้าทั่วไปเป็น 80% จากจำนวนร้านค้าทั่วไปที่มีอยู่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ในส่วนของตลาดต่างประเทศ บริษัทก็ยังคงเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV หรือกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีพฤติกรรมการบริโภคใกล้เคียงกับประเทศไทย จึงทำให้เข้าไปการทำตลาดทำได้ง่าย ซึ่งจากพฤติกรรมการบริโภคที่ใกล้เคียงกับคนไทย ประกอบกับ บริษัท ไฮคิวฯ เข้าไปทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปีที่ผ่านมามีรายได้จากกลุ่มประเทศ CLMV อยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท
ปัจจุบัน ตลาดปลากระป๋องโดยรวมในประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้ตลาดรวมมีแนวโน้มการเติบโตประมาณ 7% โดยในส่วนของแบรนด์โรซ่า มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20% เป็นอันดับ 2 ของตลาดรวมปลากระป๋อง ส่วนเบอร์ 1 เป็นของแบรนด์สามแม่ครัว มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 40% และอันดับ 3 เป็นของปุ้มปุ้ย มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 10%
นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด เนื่องจากพืชผลทางการเกษตรปรับราคาลดลง ซึ่งจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้อัตราส่วนการซื้อปลากระป๋องของผู้บริโภคปรับตัวลดลงไปประมาณ 20% จาก 2.5 กระป๋องต่อครั้ง เหลือ 2.1 กระป๋องต่อครั้ง เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งปีดังกล่าวตลาดปลากระป๋องค่อนข้างคึกคัก เนื่องจากมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อปลากระป๋องเพื่อตุนไว้บริโภค
นอกจากนี้ การที่ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคลดอัตราส่วนการซื้อปลากระป๋อง เนื่องจากมีความสะดวกในการซื้อมากขึ้น ซึ่งจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ภาพรวมตลาดปลากระป๋องในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาชะลอตัว และคาดว่าจะส่งผลให้ภาพรวมตลาดปลากระป๋องตลอดทั้งปีนี้ยังคงมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 1 หลัก เนื่องจากผู้ประกอบการในตลาดปลากระป๋องยังคงชะลอการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโฆษณาสินค้าผ่านสื่อต่างๆ
ขณะเดียวกัน การที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการตลาดปลากระป๋องต้องออกมากระตุ้นยอดขาย ด้วยการลดราคาสินค้า เพื่อจูงใจให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้มูลค่าตลาดผลากระป๋องยังคงทรงตัวไม่แตกต่างจากหลายปีที่ผ่านมามากนัก
นายสุวิทย์ กล่าวปิดท้ายว่า จากปัจจัยลบในด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว บริษัทคาดว่าภาพรวมรายได้ในสิ้นปีนี้ อาจต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโตที่ 10% เนื่องจากภาพรวมไตรมาสแรกไม่ค่อยดี เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2557 ที่บริษัทมียอดขายเติบโตสูงถึง 20% แต่จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบการบริษัทมีการขยายช่องทางการทำตลาดมากขึ้น หากไม่มีปัจจัยลบเข้ามาส่งผลกระทบเพิ่มเติม ในช่วงสิ้นปีบริษัทอาจมีรายได้กลับมาเติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
ผลกระทบจากปัจจัยลบเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่บริษัท ไฮคิวฯ เพียงบริษัทเดียวเท่านั้น แต่ทุกบริษัทล้วนได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมต่างภาวนาว่า ช่วงครึ่งปีหลังที่กำลังจะเริ่มต้นในไม่อีกกี่วันข้างหน้าทุกอย่างน่าจะดีขึ้น และส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัว เพราะดูจากแนวโน้มที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.และ มิ.ย.นี้ ภาพรวมเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะก้าวไปสู่ครึ่งปีหลัง ตอนนี้ผู้ประกอบการทุกคนก็ต่างสู้กันยิบตา เพราะสถานการณ์แบบนี้ยิ่งอยู่นิ่งๆ ยอดขายยิ่งเงียบ เห็นได้จากผู้ประกอบการทุกกลุ่มสินค้าต่างออกมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างคึกคัก แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณในกระเป๋า แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้หลายคนยอมเฉือนเนื้อตัวเอง เพื่อนำงบประมาณออกมามาทำตลาด กำไรลดลงมาบ้าง แต่ยอดขายต้องไปให้ถึง.
ข่าวเด่น