ยังคงเดินหน้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าหรูในยุโรปอย่างต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มบริษัท เซ็นทรัล หลังจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาออกมาประกาศว่าจะเดินหน้าขยายธุรกิจห้างสรรพสินค้าหรูในภูมิภาคยุโรปอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าในภูมิภาคยุโรป เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ยังย่ำแย่ หากมีโอกาสซื้อกิจการก็จะได้ราคาที่ดี
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้กลุ่มบริษัท เซ็นทรัล เร่งเดินหน้าเจรจาซื้อธุรกิจห้างสรรพสินค้าหรูในยุโรปอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดได้มากอีก 3 แห่งในประเทศเยอรมัน ส่งผลให้ปัจจุบันกลุ่มบริษัท เซ็นทรัล กลายเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าหรูติดอันดับ 3 ของภูมิภาคยุโรปไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปีนี้
ห้างสรรพสินค้าดังระดับพรีเมี่ยมในประเทศเยอรมัน 3 แห่งที่กลุ่มบริษัท เซ็นทรัล ได้เข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ ประกอบด้วย ห้างคาเดเว (KaDeWe), ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) และ ห้างอัลสแตร์เฮ้าส์ (Alsterhaus) โดยจับมือร่วมทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของยุโรป ซิกน่า (SIGNA) โดยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลจะเข้าถือครองหุ้นในสัดส่วน 50.1% ของกลุ่มคาเดเว (The KaDeWe Group )ซึ่งเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า ทั้ง 3 แห่งดังกล่าว และซิกน่าจะถือครองหุ้นในสัดส่วน 49.9%
เหตุผลที่ทำให้กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล ตัดสินใจซื้อห้างสรรพสินค้าทั้ง 3 แห่ง เพราะแต่ละแห่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเป็นห้างที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศเยอรมัน และตั้งอยู่ในเมืองที่มีความสำคัญทั้งด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ
โดยในส่วนของห้างคาเดเว จะเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศเยอรมันมีพื้นที่ขายกว่า 60,000 ตร.ม. และมีสินค้ากว่า 380,000 รายการจำหน่าย ตัวของห้างตั้งอยู่ในบนถนนโทเอนซีนสตราสเซอ (Tauentzienstrasse) ย่านช้อปปิ้งสุดหรูกลางกรุงเบอร์ลิน เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450
ส่วน ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ จะตั้งอยู่บนถนน นอยเฮ้าเซอร์ (NeuhauserStrasse) ย่านช้อปปิ้งที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมิวนิค เป็นห้างสรรพสินค้าที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ.2448 จนกระทั่งปัจจุบันและยังคงความเป็นห้างในระดับลักชัวรีที่ได้รับความความนิยมสูงสุดในเมืองมิวนิค
และ ห้างอัลสแตร์เฮ้าส์ จะเป็นห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมียม ตั้งอยู่ที่เมืองฮัมบูร์กติดกับทะเลสาบบินเนเอ้าสแต (Binnenalster) ตัวห้างเป็นอาคารสูง 5 ชั้น มีความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิคผสมผสานการออกแบบตกแต่งภายในที่ทันสมัยอัลสแตร์เฮ้าส์มีประวัติที่รุ่งเรืองมายาวนาน โดยเปิดให้บริการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2440
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล กล่าวว่า การขยายการลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการเสริมความความแกร่งให้กับทางกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลในภาคพื้นยุโรป และถือเป็นความภาคภูมิใจที่บริษัทของคนไทยมีโอกาสได้เข้าไปซื้อและบริหารพัฒนากิจการของห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดใน 3 เมืองใหญ่ของประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ซึ่งหลังจากเข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าดังกล่าวบริษัทจะเข้าเป็นผู้บริหารงานและวางกลยุทธ์หลักในกลุ่มคาเดเว โดยมีความมุ่งมั่นที่จะสืบทอดคุณค่าทางประวัติศาตร์ที่มีมายาวนานของห้างสรรพสินค้าทั้ง 3 แห่งพร้อมกับใช้ประสบการณ์ด้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลเข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับแต่ละห้าง
นอกจากนี้ การร่วมทุนกับซิกน่านับเป็นการเสริมความแกร่งให้กับกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลในตลาดยุโรปอย่างแท้จริง เนื่องจากซิกน่าถือเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในยุโรป ถือครองอสังหาริมทรัพย์มูลค่ารวมกันกว่า 6,500 ล้านยูโรประกอบธุรกิจในนาม บริษัท ซิกน่าเรียลเอสเตท ผู้บริหารการลงทุนและดำเนินธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของและบริหารทรัพย์สินมากมายในทวีปยุโรปอีกบริษัทคือ ซิกน่ารีเทล ซึ่งเป็นเจ้าของ 3 ธุรกิจ ได้แก่ KarstadtWarenhaus, KarstadtSports และกลุ่มคาเดเว โดยทั้ง 3 บริษัทนี้ถือเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของประเทศเยอรมัน ที่มีสาขาทั้งหมดกว่า 100 สาขา และพนักงานกว่า 10,000 คน โดยแต่ละปีสามารถสร้างผลประกอบการได้มากกว่าปีละ 3,000 ล้านยูโร
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าที่กลุ่มบริษัท เซ็นทรัล จะทำการซื้อกิจการห้างคาเดเว ,ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ และ ห้างอัลสแตร์เฮ้าส์ ได้ทำการเปิดห้าง "ลา รีนาเซนเต" เพิ่มขึ้นจากแผนเดิมอีก 1 สาขา บนพื้นที่ประมาณ 1 หมื่นตร.ม.ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกในยุโรป จากปัจจุบันมีห้างลา รีนาเซนเตเปิดให้บริการ 11 สาขา ห้างอิลลุม 1 สาขา ในประเทศเดนมาร์ก เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินยูโรส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ให้ความสนใจเข้าไปท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศยุโรปมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ห้างลา รีนาเซนเต ในประเทศอิตาลี มียอดขายที่ดีมาก โดยล่าสุดในช่วงไตรมาส 2 นี้มียอดขายเติบโตสูงถึง 20%
ขณะเดียวกัน ยังเร่งเดินหน้าปรับปรุงห้าง "อิลลุม" ในประเทศเดนมาร์ก ให้มีความสวยงาม เบื้องต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งหลังจากกลับมาเปิดให้บริการคาดว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งหลังจากได้ห้างใหม่เพิ่มมา 3 แห่ง ส่งผลให้ปัจจุบันกลุ่มบริษัท เซ็นทรัล มีห้างสรรพสินค้าระดับลักซ์ชัวรี่เปิดให้บริการในยุโรปรวมกัน 5 แบรนด์ติดอันดับ 3 ของผู้ประกอบการห้างสรรพสนค้าระดับลักซ์ชัวรี่ในยุโรป ประกอบด้วย ลา รีนาเซนเต้ ,อิลลุม ,คาเดเว ,โอเบอร์โพลลิงเกอร์ และอัลสแตร์เฮ้าส์ โดยทั้ง 5 แบรนด์กลุ่มบริษัท เซ็นทรัลคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ในสิ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่า 800-900 ล้านยูโร หรือประมาณ 40,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีรายได้ 600 ล้านยูโร และในปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 1,200 ล้านยูโร
ทั้งนี้ การบุกเบิกขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคในทวีปยุโรปของกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2554 โดยการเข้าซื้อกิจการกลุ่มห้างสรรพสินค้าชั้นนำในประเทศอิตาลี ลา รินาเชนเต โดยวางแผนที่จะพัฒนาและขยายธุรกิจไปยังกลุ่มห้างสรรพสินค้าสินค้าหรูเก่าแก่ในยุโรป ซึ่งกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจให้กับห้างสรรพสินค้าลารินาเชนเตในกรุงมิลาน และอีกกว่าสิบแห่งทั่วอิตาลีรวมถึงมีแผนเปิดสาขาใหม่ที่ใจกลางกรุงโรม ในเดือนก.พ. ปี พ.ศ.2560
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ.2556 ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทเซ็นทรัลซื้อ อิลลุม ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเดนมาร์ก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อพลิกโฉมครั้งสำคัญ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของ ปีนี้ ซึ่งการเร่งขยายธุรกิจในครั้งนี้ ทำให้กลุ่มบริษัทเซ็นทรัลก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านห้างสรรพสินค้าระดับระดับพรีเมี่ยมและลักชัวรี่ในภาคพื้นยุโรปและเอเชีย ด้วยการมีแฟล็กชิพสโตร์ที่หรูหราและมีเอกลักษณ์ทั้งสิ้น 7 แห่ง ประกอบด้วย ลา รินาเชนเตมิลาน ,ลา รินาเชนเตโรม, อิลลุม โคเปนเฮเกน,คาเดเว เบอร์ลิน,โอเบอร์โพลลิงเกอร์ มิวนิค,อัลสแตร์เฮ้าส์ฮัมบูร์ก และ เซ็นทรัลชิดลม และเซ็นทรัล เอ็มบาสซี กรุงเทพ ซึ่งทุกแห่งล้วนตั้งอยู่ในอาคารที่เป็นแลนด์มาร์กของแต่ละเมือง
แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ในส่วนของธุรกิจในประเทศเองกลุ่มบริษัท เซ็นทรัลก็เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเช่นกันภายใต้งบประมาณที่วางไว้ 40,000 ล้านบาท โดยในส่วนของปีนี้มีแผนที่จะเปิดศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าใหม่จำนวน 6 แห่ง คือ เซ็นทรัล เวสต์เกต ,เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสท์วิลล์ ,โรบินสัน ไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ ศรีสมาน ,โรบินสัน บุรีรัมย์ ไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์และเซ็นทรัล พลาซ่า ระยอง ส่วนธุรกิจโรงแรมมีแผนที่จะเข้าไปบริหารงานเพิ่มอีก 9 แห่ง รวม 1,800 ห้อง จากปัจจุบันมีโรงแรมในเครือรวม 75 แห่ง รวม 15,000 ห้อง
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะเข้าไปทำกิจกรรมการตลาดในสาขาที่อยู่ใกล้แนวชายแดน เพื่อผลักดันให้กลุ่มลูกค้าประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาใช้บริการห้างค้าปลีกในเครือของกลุ่มบริษัท เซ็นทรัลเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะเดินหน้าขยายธุรกิจค้าปลีกไปในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในปีนี้ยังเน้นไปที่ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เนื่องจากปีที่ผ่านมาได้เริ่มเข้าไปขยายธุรกิจในประเทศดังกล่าวบ้างแล้ว
นายทศ กล่าวต่อว่า การที่เราเตรียมงบลงทุนไว้ถึง 4 หมื่นล้านบาทในปีนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าเรามีความมั่นใจเศรษฐกิจภายในประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน ซึ่งล่าสุดเราก็เพิ่งเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ระยองไป หลังจากระยองเราก็จะเปิดให้บริการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสท์เกต บางใหญ่ ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้มั่นใจว่าสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตที่ 15% ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 286,680 ล้านบาท และมีรายได้เพิ่มเป็น 3 แสนล้านบาทในปี 2559 ได้อย่างแน่นอน
นี่เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งปีกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลก็รุกหนักใช้งบก้อนโตลงทุนสวนกระแสเศรษฐกิจขนาดนี้ เชื่อว่าครึ่งปีหลังที่เหลือ คงจะมีอะไรตื่นเต้นออกมาให้ดูอีกอย่างแน่นอน เพราะนายทศ จิราธิวัฒน์ ออกมาเปิดเผยว่างบประมาณ 40,000 ล้านบาทที่เตรียมไว้ตั้งแต่ต้นปีไม่นับรวมงบสำรองที่เตรียมไว้ เพื่อซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งยังมีอีกหลายดิวที่อยู่ระหว่างการเจรจา แน่ๆ ที่ได้ยินแว่วๆมาครึ่งปีหลังนี้น่าจะได้เห็นการเข้าซื้อกิจการของกลุ่มธุรกิจเว็บไซต์ ออนไลน์ และโลจิสติกส์ เพราะเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่กลุ่มบริษัท เซ็นทรัล จะให้ความสำคัญ เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจออนไลน์ที่กำลังไปได้สวย.
ข่าวเด่น