จากความสำเร็จในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันแอมเวย์ยังคงครองความเป็นผู้นำธุรกิจเครือข่ายทั่วโลก และจากความสำเร็จที่ได้ดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทแม่ต้องออกมาเปิดกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จในทศวรรษหน้า ด้วยกลยุทธ์ ‘แอมเวย์เน็กซ์ (AmwayNEXT)’ ซึ่งจะเน้นสร้างประสบการณ์ตรงกับแบรนด์ ผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์ผู้บริโภคเฉพาะด้าน
นอกจากนี้ ยังจะมีการนำสื่อดิจิทัลเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจ เนื่องจากแนวทางการดำเนินธุรกิจในทศวรรษหน้า แอมเวย์จะเน้นไปที่ความรวดเร็วในการดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนความสำเร็จของนักธุรกิจแอมเวย์ และสร้างความมั่นใจให้กับนักธุรกิจว่า แอมเวย์ยังสามารถผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้อีกมาก
นายไมเคิล เคเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแอมเวย์ กล่าวว่า แอมเวย์ในฐานะธุรกิจเครือข่ายอันดับหนึ่งของโลก มีสาขามากกว่า 100 ประเทศ และมีเม็ดเงินทางธุรกิจเกือบ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทได้มองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจแอมเวย์ในทศวรรษหน้า ด้วยการใช้กลยุทธ์ระยะยาว ที่เรียกว่า ‘แอมเวย์เน็กซ์’ เป็นตัวขับเคลื่อนทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แอมเวย์ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก ล่าสุดก็ได้เตรียมลงทุน 332 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างโรงงานพร้อมการวิจัยและพัฒนาจำนวน 5 แห่งในปีนี้ ขณะเดียวกันก็จะมุ่งหาวัตถุดิบที่ดี เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และผลิตภัณฑ์หนึ่งในนั้น คือ นิวทริไลท์ แบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเกลือแร่เพียงแบรนด์เดียวที่เพาะปลูก เก็บเกี่ยว และมีกระบวนการผลิตด้วยระบบฟาร์มชีวภาพที่ผ่านการรับรองแล้ว
นอกจากนี้ แอมเวย์ ยังมีนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และช่างเทคนิค เพื่อการวิจัยและพัฒนามากกว่า 900 คน ห้องทดลอง 75 แห่งทั่วโลก มีศูนย์นวัตกรรมความงามแห่งเอเชียที่ประเทศเกาหลี และกำลังจะเปิดศูนย์การวิจัยและพัฒนาทางสมุนไพรของเอเชียที่สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเป็นเจ้าของสิทธิบัตรมากกว่า 1,100 ชิ้น และอยู่ระหว่างการรอจดสิทธิบัตรอีก 700 ผลงาน
นายไมเคิล กล่าวต่อว่า นอกจากจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แล้ว บริษัทยังได้นำเสนอประสบการณ์ตรงผ่านกิจกรรมเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น การจัดงานสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน โดยได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เอ็กซ์เซส เอเนอร์จี้ (XS Energy) ซึ่งจำหน่ายใน 40 ตลาดสาขา การจัดโปรแกรมควบคุมน้ำหนักที่ประเทศเกาหลี โดยการสร้างกิจกรรมร่วมกับลูกค้า เพื่อให้กลุ่มคนที่ต้องการลดน้ำหนักสามารถประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ รวมทั้งกิจกรรมสำหรับผู้รักการประกอบอาหารในกลุ่มผู้หญิงในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
ขณะเดียวกัน แอมเวย์ ยังได้พัฒนาเทคโนโลยี โดยการนำดิจิทัลช่วยขับเคลื่อนธุรกิจและการมีส่วนร่วม เพื่อให้นักธุรกิจแอมเวย์ได้ทราบข้อมูลที่จำเป็นแบบทันที รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลในการจัดการปัญหาต่างๆ เช่น การมีสุขภาพที่ดี การดูแลรักษารูปร่างและความงาม เป็นต้น ผ่านสมาร์ทโฟนและแทปเล็ตได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น
นายไมเคิล กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญประการสุดท้ายในกลยุทธ์แอมเวย์เน็กซ์ คือ ความรวดเร็ว เพราะความรวดเร็วในการดำเนินงานทุกๆ เรื่อง คือ สิ่งจำเป็นในการสนับสนุนความสำเร็จของนักธุรกิจแอมเวย์ บริษัทจึงพัฒนาทั้งเครื่องมือดิจิทัล ระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) และความพยายามในด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งนักธุรกิจแอมเวย์และลูกค้าในเวลาที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเพื่อปรับเปลี่ยนให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
หลังจากออกมาเปิดยุทธศาสตร์ดังกล่าว ประธานแอมเวย์มั่นใจว่า ธุรกิจของแอมเวย์จะมีความยั่งยืนอย่างแน่นอน เนื่องจากปี 2593 ประชากรโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และเป็นโอกาสที่ดีที่แอมเวย์ได้ทำการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้นดังกล่าว
ด้าน นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แอมเวย์ประเทศไทยมียอดขายเป็นอันดับที่ 5 ของแอมเวย์ทั่วโลก และเป็นธุรกิจเครือข่ายอันดับหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งปัจจัยหลักมาจากความทุ่มเทและความแข็งแกร่งของนักธุรกิจแอมเวย์ทั่วประเทศ ผลิตภัณฑ์คุณภาพ และความน่าเชื่อถือขององค์กร
ดังนั้นเพื่อก้าวไปสู่ทศวรรษหน้า แอมเวย์ ประเทศไทย จึงขอเดินตามบริษัทแม่ ด้วยการมุ่งเน้นการนำดิจิทัลมาใช้ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น และอำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจแอมเวย์ พร้อมเน้นความรวดเร็วในทุกๆ การดำเนินงานของบริษัท
ขณะเดียวกันก็จะใช้กลยุทธ์แอมเวย์เน็กซ์ กำหนดทิศทางธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกลุ่มผู้มีความสนใจเฉพาะด้านทั้งด้านสุขภาพ ความงาม และอาชีพนักธุรกิจแอมเวย์ ด้วยการจัดกิจกรรมพิเศษให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้มีประสบการณ์ตรงกับแบรนด์ พร้อมๆ กับได้แนะนำผลิตภัณฑ์ของแอมเวย์ รวมทั้งเป็นเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินงานของนักธุรกิจแอมเวย์ ภายใต้ชื่อ "บิวตี้ฟอร์มี" (Beauty 4 ME) เพื่อผู้ต้องการให้ตนเองดูดี กู๊ดเดย์ฟอร์ยู (Good Day 4 U)
สำหรับผู้ใส่ใจในสุขภาพ และวีอาร์แอมเวย์ (We are Amway) สำหรับผู้มองหาโอกาสที่ดียิ่งขึ้นในชีวิตผ่านอาชีพนักธุรกิจแอมเวย์ โดยกิจกรรมทั้งหมดจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่ง แอมเวย์ ประเทศไทย มั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย
นายกิจธวัช กล่าวต่อว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทได้นำมาปรับใช้ระยะสั้นแล้วในปีนี้ ด้วยการหันมาเน้นการขายสินค้าที่ซื้อง่ายขายคล่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วยแคมเปญ ลด แลก แจก แถม เพื่อรักษายอดขาย และประคองตลาดในช่วงที่เศรษฐกิจยังซึมอยู่ มีผลทำให้ประชาชนไม่ใช้จ่าย
อย่างไรก็ดี ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ได้จัดแคมเปญซื้อ 1 แถม 1 สำหรับยาสีฟัน ปรากฎว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าจากช่วงปกติ มีสมาชิกเพิ่มขึ้นกว่า 30% ดังนั้นหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ก็คงต้องใช้กลยุทธ์ดังกล่าวเป็นหลักต่อไป
นายกิจธวัช กล่าวปิดท้ายว่า เศรษฐกิจ 1-2 ปีนี้ แปลกกว่าช่วงวิกฤติต่าง ๆ ที่ผ่านมา จากปกติที่เศรษฐกิจดี สินค้าก็จะขายดี แต่เศรษฐกิจแย่ สมาชิกก็จะมีมากขึ้น เพราะต้องการหารายได้เสริม ที่แปลกเพราะว่า เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่สมาชิกไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะผู้บริโภคยังมีงานทำ แม้ว่าจะมีหนี้ครัวเรือนที่สูง ก็ยังอยู่กันมาได้ เพียงแต่ไม่ฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่ถึงกับต้องหารายได้เสริม เรียกว่าเศรษฐกิจซึม ซึ่งซึมมา 1-2 ปีแล้ว
แม้ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะซึมเซา แต่หลังจาก แอมเวย์ ประเทศไทย ออกมาปรับเกมรุกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด หรือการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง ก็มั่นใจว่าครึ่งปีหลังทุกอย่างน่าจะดีขึ้น และน่าจะผลักดันให้สิ้นปีมียอดขายเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ หากไม่มีปัจจัยลบในด้านอื่นๆ มาฉุดกำลังซื้อผู้บริโภคให้ซึมต่อเนื่องไปอีก
ข่าวเด่น