การตลาด
สกู๊ป "เดอะมอลล์" ชูกลยุทธ์ "ไอไอดี" ดันยอดสิ้นปี 5.3 หมื่นล้าน


ตลอดระยะเวลา  35 ปีที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ เปิดให้บริการอยู่คู่กับคนกรุงเทพฯ จากวันนั้นถึงวันนี้ทำให้ เดอะมอลล์ เข้าใจไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าครอบครัว และจากเวลาที่ผ่านไปถึง  35  ปี ทำให้ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของเดอะมอลล์ เริ่มเข้าสู่ Generation ที่ 3  โดยลูกค้า Generation ที่ 2 จะกลายเป็นลูกค้าที่เป็นพ่อแม่ที่เป็นครอบครัวใหม่ที่อาศัยอยู่รอบๆ ห้างฯ ที่กลายเป็นย่านชุมชนเมืองใหม่ ที่ไม่ใช่ย่านชานเมืองกรุงเทพอีกต่อไป

 

จากความหลากหลายของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีมากขึ้น ส่งผลให้ เดอะมอลล์ ต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ร้านค้า การบริการ หรือการทำกิจกรรมการตลาดต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป เช่น กินข้าวนอกบ้านมากขึ้น,ซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น,ให้ความสำคัญกับโปรโมชั่นในการซื้อสินค้ามากขึ้น เป็นต้น

ปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าของเดอะมอลล์  มีค่าใช่จ่ายเฉลี่ยประมาณ 500 - 3,000 บาทต่อครั้ง และมีความถี่ในการใช้บริการ 1 -2 ครั้ง/สัปดาห์ โดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์  ซึ่งปัจจุบันเดอะมอลล์มีลูกค้าหมุนเวียนเฉลี่ยในวันธรรมดาวันละประมาณ 100,000 คน/สาขา และเพิ่มขึ้นสูงถึงประมาณวันละ 200,000 คน/สาขาในวันหยุด

อย่างไรก็ดี เพื่อให้ก้าวทันกับความต้องการของลูกค้าทุกวัย เดอะมอลล์จึงได้มีการปรับแผนการทำตลาดใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจยังคงชะลอตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่กล้าที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอย ด้วยกลยุทธ์เชิงกว้างและเชิงลึก เพื่อเข้าถึงความต้องการของลูกค้า

 

นายชำนาญ เมธปรีชากุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่ตลาดค้าปลีกมีการแข่งขันที่สูง เนื่องจากภาพรวมทางเศรษฐกิจของไทยเริ่มฟื้นตัว รวมถึงเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่ดี มีปัจจัยช่วยหนุนในเรื่องของตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้หลายฝ่ายจะมองว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจภาพรวมจะยังไม่ดี แต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ ถ้าเกิดการกระตุ้นการบริโภคอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ  ซึ่งภาคเอกชนถือเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของครึ่งปีแรก ถือเป็นช่วงที่เป็นโอกาสและความท้าทายในการชิงยอดขาย บวกกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐที่เริ่มส่งผลดีในหลายๆ ด้าน อีกทั้งยังเข้าสู่ช่วง End Of Season ที่จะมีการเปลี่ยนถ่ายคอลเลคชั่นสินค้า และมีการลดราคาสินค้าต่างๆ เป็นประจำในทุกๆปี ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ประกอบกับปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เดอะมอลล์ กรุ๊ป เอง มีทั้งที่มีรูปแบบเหมือนกันและแตกต่างกันในแต่ละรูปแบบธุรกิจ จึงทำให้ เดอะมอลล์ ต้องออกมาปรับแผนการทำตลาด ด้วยกลยุทธ์ IID (Integration Identity & Differentiation) หรือการผสมผสานแบบคงเอกลักษณ์ที่แตกต่างอย่างโดดเด่น

ทั้งนี้ กลยุทธ์ดังกล่าวถือเป็นการทำการตลาดในแนวกว้างที่มีการรวมจัดแคมเปญของทั้งกรุ๊ป เพื่อสร้างความแรงและความคึกคักให้กับตลาด ในขณะเดียวกันก็มีการทำการตลาดในแนวลึกที่เน้นแยกกลุ่ม เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละที่ โดยยังคำนึงถึงความแตกต่างที่จำเป็นในการสร้างความโดดเด่นของแต่ละห้างฯในการดึงดูดลูกค้า

นอกจากนี้ยังได้มีการใช้งบประมาณกว่า100 ล้านบาท ในการทำการตลาดดังกล่าวในช่วงโค้งสุดท้ายของครึ่งปีแรก โดยแต่ละห้างจะมีแคมเปญที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เช่น  ห้างฯ และศูนย์การค้าเดอะมอลล์ จะจัดแคมเปญ  The Mall Anniversary “Happy Surprise”ที่เน้นโปรโมชั่นที่เหมาะกับลูกค้าเดอะมอลล์ และเป็นโปรโมชั่นพิเศษที่ห้างฯและศูนย์การค้าเดอะมอลล์จัดขึ้นเป็นพิเศษในปีนี้

ส่วน The Em District  ซึ่งจะประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม และดิ เอ็มควอเทียร์ จะมีการจัดแคมเปญ  Sale Extraordinaire  และ พารากอน ดีพาร์ทเม้นต์สโตร์ จะมีการจัดแคมเปญ Paragon Shop A Thon แยกตามไลฟ์สไตล์ลูกค้าแต่ละห้างฯ และเพื่อสร้างความแรงของกิจกรรมส่งเสริมการขายให้มีความคึกคักมากขึ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย. เดอะมอลล์จึงได้มีการจัด Midnight Sale ซึ่งเป็นแคมเปญรวมของทั้ง 4 ห้างฯ ตามด้วยงานมหกรรมลดทะลุพิกัดที่เมืองทองธานี รับกลุ่มลูกค้าที่นิยมช้อปปิ้งในงานเซลล์นอกพื้นที่ห้างฯ ซึ่งถือเป็นการนำกลยุทธ์ IID มาใช้เพื อสร้างความแข่งแกร่งในการทำการตลาดของเดอะมอลล์ในช่วงเวลานี้

 

น.ส.ดวงตา พงษ์วิไลย์ ผู้จัดการใหญ่การตลาด Corporate Marketing บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า การจัดแคมเปญ The Mall Anniversary “Happy Surprise” เป็นการผนึกกำลังของทั้งห้าง ศูนย์และพัธมิตรทางการค้า เพื่อความยิ่งใหญ่และมอบความคุ้มสูงสุดแก่ลูกค้า เหมือนเป็นของขวัญวันเกิดที่ทางเดอะมอลล์มอบแก่ลูกค้า โดยแคมเปญสำคัญที่พยายามสร้างความแตกต่างจากแคมเปญอื่นๆ ด้วยการนำไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามาปรับเป็นแคมเปญให้สอดคล้องกันทั้งห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าที่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดในการมาใช้บริการที่เดอะมอลล์ ซึ่งลูกค้าที่มาใช้บริการศูนย์การค้าจะมีไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิตในห้างฯ หรือ One stop destination ที่ศูนย์การรวมทุกอย่างในการใช้ชีวิต ที่ชีวิตประจำวันต้องการ

น.ส.นงลักษณ์ โลหะมาณพ ผู้จัดการใหญ่การตลาด Corporate Promotion บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด  กล่าวว่า  แคมเปญ The Mall Anniversay  Happy Surprise  จะเป็นการสร้างโปรโมชั่นไฮไลท์  WEEKLY SURPRISE   ในทุกๆ เสาร์ อาทิตย์  ด้วยการนำสินค้าแบรนด์ชั้นนำที่เป็นที่นิยมของลูกค้าเดอะมอลล์ มาจำหน่ายในราคาจ่ายครึ่งเดียว เช่น ช้อป 4,000 บาท จ่ายเพียง 2,000 บาท ในแบรนด์ Wacoal, G2000, Lacoste, Arrow  และ Livis เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.นี้ ยังจะมีการจัด 2 แคมเปญใหญ่ในการกระตุ้นยอดขายโค้งสุดท้ายของครึ่งปีแรก ด้วยแคมเปญ Midnight Sale  ระหว่างวันที 30 มิ.ย.– 5 ก.ค.นี้ ที่เดอะมอลล์ทุกสาขา เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นต์สโตร์ โดยลดราคาสินค้าเคาน์เตอร์ปกติลดสูงสุด 30% ตั้งแต่บ่าย 2 โมงเป็นต้นไป

ด้าน นางณัฐศมน วงศ์กิตติพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป  จำกัด กล่าวว่า แคมเปญ The Mall Anniversary “Happy Surprise” เป็นการใช้กลยุทธ์ Strategic alliance ที่จำเป็นสำหรับการทำการตลาดห้างฯสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจในการซินเนอร์ยีแคมเปญการตลาดต่างๆ เพื่อให้แคมเปญเกิดความน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้า ซึ่งนอกจากจะมีการจัดโปรโมชั่นในรูปแบบต่างๆ แล้ว บริษัทยังได้ทำกิจกรรมร่วมกับบัตรเครดิต Citi M Visa   มอบส่วนลดเพิ่ม 8 % เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร

 

ปิดท้ายที่ นายจักกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส บริหารสินค้า เพาเวอร์มอลล์ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของเพาเวอร์มอลล์นับจากนี้ ยังคงเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายหลักระดับบนเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ที่นำมาจำหน่ายในแผนกเพาเวอร์มอลล์ จะเป็นสินค้าระดับกลางและบนเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็จะหันมาเจรจากับผู้ประกอบการสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและไอทีมากขึ้น เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกัน เพราะการทำโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียวตอนนี้ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคได้ เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกชินกับการทำกิจกรรมดังกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังจะหันมาเน้นการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายถี่ขึ้นเป็นเดือนเว้นเดือน จากเดิมจะจัดปีละ 2 ครั้ง ซึ่งล่าสุดบริษัทได้ใช้งบ 65 ล้านบาท ในการจัดงานเพาเวอร์มอลล์ อิเล็คทรอนิก้า ที่ชั้น 5 ศูนย์การค้าพารากอน เพื่อสร้างความคึกคักให้กับการทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งหลังจากออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้รวมเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 53,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 6-7%

    
 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 29 มิ.ย. 2558 เวลา : 14:48:08
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 10:56 am