เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
หนี้ครัวเรือนเริ่มแผ่ว คาดแตะ 81.5%สิ้นปี ประเมินแบงก์คุมเสี่ยงเพิ่มหลังเศรษฐกิจชะลอ


ศูนย์วิจัยฯประเมินหนี้ครัวเรือนมีโอกาสเพิ่มอีกในไตรมาส 2 แต่สัญญาณเริ่มแผ่วคาดปลายปีแตะระดับ 81.5%ต่อจีดีพีตามคาด เผยหนี้ส่วนใหญ่เพิ่มจากซื้อบ้านช่วยแบงก์ลดความเสี่ยง ขณะที่ธนาคารกสิกรไทยรับสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มแผ่วคงสินเชื่อโต 6 % นักวิเคราะห์ประเมินต้นทุนขยับจากการตั้งสำรองเพิ่ม



 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนไทยประจำไตรมาส 1 ของปี 2558 พบว่า หนี้ภาคครัวเรือนมีจำนวนรวม 10.57 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อนๆ ตามความคาดหมาย สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ไม่สดใสนัก

ขณะที่หากเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี ซึ่งมีการปรับวิธีการคำนวณใหม่แล้ว พบว่า หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี อยู่ในระดับ 79.9 % ต่อจีดีพี ขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับ 79.7 % ณ สิ้นปี 2557 โดยการปรับเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนในไตรมาสแรก คาดว่าเป็นผลจากการเติบโตของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อเพื่อการอุปโภคและบริโภค เช่น สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มีทิศทางชะลอลงหรือค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

“หากแบ่งตามประเภทสถาบันการเงินแล้ว พบว่า ธนาคารพาณิชย์ ยังเป็นแหล่งกู้ยืมเงินหลักของภาคครัวเรือน รองลงมาได้แก่ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสหกรณ์ออมทรัพย์”ศูนย์วิจัยฯระบุ

ศูนย์วิจัยฯเปิดเผยต่อว่า หนี้ครัวเรือน ยังมีแนวโน้มขยับขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2558 ต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2558 ท่ามกลางความต้องการสินเชื่อจากครัวเรือนหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นครัวเรือนระดับกลางขึ้นไปที่ยังคงมีอุปสงค์ในการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ท่ามกลางจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จซึ่งทยอยเข้าสู่ตลาดและอัตราดอกเบี้ยซึ่งอยู่ในระดับต่ำอันเอื้อต่อการกู้ยืมของครัวเรือน

ส่วนครัวเรือนระดับกลางถึงล่างบางส่วนแม้จะเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อใหม่จากธนาคารพาณิชย์มากขึ้น แต่ด้วยนโยบายสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของภาครัฐผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ก็น่าจะช่วยผลักดันสินเชื่อเพื่อประคองการอุปโภคบริโภคและการทำธุรกิจของครัวเรือนกลุ่มดังกล่าวไว้ได้ ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจนาโนไฟแนนซ์คงมีบทบาทในการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กบ้าง แต่ผลต่อการขับเคลื่อนหนี้ครัวเรือนสะสมน่าจะยังค่อนข้างจำกัดเนื่องจากเป็นระยะแรกของการให้บริการ

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ระดับหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาสที่ 2 คงขยับขึ้นไปที่ระดับ 80.5 - 80.7 % ต่อจีดีพี หรือขยายตัว 6.0 - 6.2%  เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา ส่วนสิ้นปี 2558 หนี้ครัวเรือนอาจเพิ่มขึ้นแตะระดับ 81.5 %  ต่อจีดีพี ภายใต้กรอบคาดการณ์ที่ระดับ 81.0 - 82.0 % ต่อจีดีพี”ศูนย์วิจัยฯเปิดเผย และระบุอีกว่า อย่างไรก็ตาม หนี้ครัวเรือนที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว ถือเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ชะลอลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถาบันการเงินเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อคุมคุณภาพหนี้ จากสัญญาณเศรษฐกิจที่ยังไม่เปลี่ยนภาพไปจากช่วงต้นปี โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อเพื่ออุปโภคและบริโภคอย่างสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตซึ่งไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สะท้อนให้เห็นผ่านการอนุมัติสินเชื่อใหม่ที่มีความเข้มงวดมากขึ้น

ขณะเดียวกันยังมีการออกมาตรการเพื่อสร้างวินัยทางการเงินและจำกัดการเบิกใช้สินเชื่อในกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูง เช่น การจำกัดวงเงินกดเงินสดล่วงหน้าและการพิจารณาเข้มขึ้นเมื่อมีการขอวงเงินเพิ่ม ส่วนการพิจารณาให้สินเชื่อก้อนใหญ่อย่างสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งแม้ว่าจะมียอดการปฏิเสธสินเชื่อที่ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่นๆ เนื่องจากลูกค้าที่ขอสินเชื่อมีความพร้อมสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ แต่ธนาคารพาณิชย์ยังคงพิจารณาเครดิตโดยอาศัยประวัติเครดิตที่ค่อนข้างดี ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ประกอบกัน เช่น ภาระหนี้จ่ายต่อรายได้รวม พฤติกรรมการผ่อนดาวน์ รวมถึงลักษณะโครงการที่อยู่อาศัยและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมด้วย ขณะที่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ราคารถยนต์มือสองที่ถึงจุดต่ำสุดแล้วคงช่วยคลายความกังวลต่อปัญหาการทิ้งรถที่วกกลับมาเป็นปัญหาหนี้เสียของสถาบันการเงินได้ในระดับหนึ่ง ส่วนการลดดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการช่วยเหลือลูกค้านั้น คงมีผลช่วยลดภาระให้กับครัวเรือนกลุ่มเสี่ยงได้บางส่วน

 

ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนและปัญหาหนี้เอ็นพีแอลของกลุ่มลูกค้ารายย่อยในภาพรวมจะยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ต้องยอมรับว่ายังมี องค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ ที่ช่วยบรรเทาความกังวลต่อสถานการณ์ปัญหาหนี้ครัวเรือนในภาพรวม ได้แก่ ประการแรก ครัวเรือนไทยยังคงมีจุดแข็งด้านสินทรัพย์ เนื่องจากครัวเรือนกว่า 90 % เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคซึ่งมีสัดส่วนเจ้าของที่อยู่อาศัยที่ราว 50 – 60 % เท่านั้น ซึ่งสะท้อนว่าหนี้สินภาคครัวเรือนไทยจะขยับขึ้นต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้เพื่อซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยซึ่งเพิ่มสินทรัพย์ถาวรให้กับครัวเรือน อันช่วยบรรเทาความกังวลต่อภาวะเปราะบางของภาคครัวเรือนไปได้ส่วนหนึ่ง

ประการที่ 2 หนี้สินครัวเรือนสะสมกว่าครึ่งหนึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยกว่า 21.2 %  ต่อจีดีพี เป็นหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่ หนี้เพื่อเช่าซื้อรถยนต์ และหนี้เพื่อทำธุรกิจ มีสัดส่วนเท่ากันที่ราว 12.8 %  รวมเป็น 46.8  %ต่อจีดีพี ซึ่งถือเป็นหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำของสถาบันการเงิน ซึ่งช่วยปิดความเสี่ยงให้กับสถาบันการเงินและระบบการเงินไทยไปได้ส่วนหนึ่ง

“หนี้ครัวเรือนที่เติบโตชะลอลง ควบคู่กับจุดแข็งด้านสินทรัพย์ของครัวเรือนไทยจากการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย และหนี้สินส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คงมีส่วนช่วยปิดความเสี่ยงให้กับสถาบันการเงินและระบบการเงินไทยได้บางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายเครดิตที่ค่อนข้างระมัดระวังของสถาบันการเงินที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับต่ำ”

ทั้งนี้ ในระยะถัดไปเมื่ออัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางไปจากปัจจุบัน หนึ่งในประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพราะอาจตอกย้ำความเปราะบางของภาคครัวเรือน ได้แก่ สถานการณ์การออมภาคครัวเรือนที่ปรับลดลง ดังจะเห็นได้จากอัตราการออมของครัวเรือนในประเทศที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีน้อยลงตามลำดับ โดยล่าสุด ณ สิ้นปี 2556 อยู่ที่ 4.6 % ต่อจีดีพี ชะลอลงจาก 5 ปีย้อนหลังซึ่งค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 5.4 %  ต่อจีดีพี

ขณะเดียวกัน ภาพดังกล่าวยังถูกตอกย้ำด้วยอัตราการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์เงินออมของลูกค้ารายย่อย  ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2556 - 2557) อันสะท้อนความสามารถในการรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและภาระดอกเบี้ยของครัวเรือนที่ถดถอยลงตามระดับการออม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะกลับมาเป็นโจทย์ของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโจทย์ของภาคครัวเรือนที่จะต้องรับมือกับต้นทุนทางการเงินที่ขยับขึ้น โจทย์ของสถาบันการเงินที่จะต้องบริหารคุณภาพสินทรัพย์และดูแลลูกค้าท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนทิศทางไป รวมถึงโจทย์เชิงนโยบายของทางการในการยกระดับการออมและสร้างวินัยทางการเงินให้กับภาคครัวเรือน ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานะทางการเงินของครัวเรือนไทยได้ในระยะยาว



 

ขณะที่ นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอาจจะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง ที่คาดว่าจะมีแรงส่งจากการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งหวังว่าภาครัฐจะเร่งใช้นโยบายทางการคลังมากขึ้น เพื่อช่วยส่งให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อปีนี้เติบโต 6% แม้ในไตรมาสแรกที่ผ่านมาจะเติบโตเพียง 2% อย่างไรก็ตามธนาคารตั้งเป้ารักษาระดับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)ไว้ไม่ให้เกิน 2.5% โดยจะพิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้มีคุณภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ดีในการร่วมการประชุมร่วมกับนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา ผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย ให้ความเห็นแก่นักวิเคราะห์ว่า มีโอกาสที่ผลประกอบการอาจชะลอลงจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวช้า และคุณภาพสินทรัพย์เอ็นพีแอลอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด ดังนั้นทําให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสํารองธนาคารจะสูงขึ้นเช่นกัน

บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (บล.) ระบุว่า คาดการณ์การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการสํารองหนี้ฯของธนาคารกสิกรไทยอาจจะขยับขึ้นและจากนี้ไปจะเห็นการเพิ่มขึ้นในรายไตรมาสเพื่อไปสู่เป้าหมายใหม่ของธนาคารฯ ที่ต้องการเพิ่มความระมัดระวัง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอล ที่อาจจะขึ้นไประดับ 2.7-2.8% ของสินเชื่อรวม จาก 2.47% ณ สิ้นงวด ไตรมาสแรกที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามส่วนต่างรายได้สุทธิ(NIM)ของธนาคารกสิกรไทยอาจจะลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบหลายทาง โดยเฉพาะจากสินเชื่อที่ยังเติบโตแผ่วลง

 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 01 ก.ค. 2558 เวลา : 02:33:53
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 4:51 pm