นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวต่ำและฟื้นตัวได้ช้า และคาดว่าตลาดน่าจะมีการปรับคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีในปี 2558 ลงอีกโดยเสียงส่วนใหญ่คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 3% ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรวมถึงบลจ.กสิกรไทยคาดการณ์ไว้อยู่ที่ระดับ 2.8% ทั้งนี้ มีปัจจัยหลายด้านที่กดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจ ได้แก่ ราคาพืชผลทางเกษตรที่อยูในระดับต่ำ ประกอบกับปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำลังซื้อของกลุ่มเกษตรกร การบริโภคภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีความระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้นสวนทางกับกำลังซื้อที่มีเพิ่มขึ้นเมื่อราคาน้ำมันคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่การส่งออกยังมีความเสี่ยงที่จะหดตัวต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า อาทิ จีน ยุโรป ชะลอตัวลง นอกจากนี้หากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของทางภาครัฐยังคงล่าช้าและไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดีในระยะ 1 – 2 เดือนที่ผ่านมา แนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้น อาทิ การเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการภายในครึ่งปีหลัง รวมแล้วเป็นมูลค่าเกือบ 3 แสนล้านบาท
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า "ตลาดหุ้นไทยมีแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มธนาคารซึ่งหนี้เสียมีแนวโน้มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ส่งผลให้อาจมีการตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้นและกดดันให้มีการปรับลดประมาณการณ์กำไรลง ส่วนปัจจัยที่คาดว่าจะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นในครึ่งหลังปี 2558 ปัจจัยหลักมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ และการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในด้านการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มธุรกิจส่งออก นอกจากนี้ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากสภาพคล่องในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางหลักๆของโลก อาทิ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน รวมถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะชะลอไปเป็นช่วงปลายปี 2558 ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นโดยรวม"
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ กรณีการแพร่ระบาดของโรค MERs และการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซที่จะส่งผลกระทบในเชิงจิตวิทยาการลงทุนทำให้ตลาดเกิดความผันผวนได้ในระยะสั้น แต่ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจโดยตรงต่อประเทศไทยคาดว่าจะมีไม่มากนัก ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 อยู่ที่ระดับ 1,600 จุด ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ที่ระดับ 16 เท่า จากตัวเลขประมาณการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ของ Bloomberg ที่ประมาณ 30%
นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า บลจ. กสิกรไทย เตรียมจ่ายปันผลกองทุนหุ้นไทยจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นทุน (K-EQUITY) ในอัตรา 0.19 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2557 - 30 มิถุนายน 2558 และกองทุนเปิดเค สตราทิจิค แอคทีฟ หุ้นทุนปันผล(K-STADE)** ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 - 30 มิถุนายน 2558 โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน 2558 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14กรกฎาคม 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 60 ล้านบาท
"กองทุน K- EQUITY และกองทุน K-STADE ปัจจุบันให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ อาทิ หุ้นในกลุ่มรับเหมา
ก่อสร้างซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หุ้นในกลุ่มธุรกิจส่งออก ซึ่งจะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว หุ้นใน
กลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ หรือหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวซึ่งมีการเติบโตโดยไม่พึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศ
นอกจากนี้ จะเริ่มทยอยลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ หากมีสัญญาณฟื้นตัวกลับมาในครึ่งปีหลัง" นางสาวธิดาศิริกล่าว
ด้วยกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นและการปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดดังกล่าว ทำให้ทั้ง 2 กองทุนยังสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 29 มิ.ย. 2558 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ให้ผลการดำเนินงานเพียง 0.9%ขณะที่กองทุน K- EQUITY และกองทุน K-STADE มีผลการดำเนินงานที่สามารถเอาชนะตลาด โดยให้ผลตอบแทนที่ 1.35% และ 3.41% ตามลำดับ ส่วนผลการดำเนินงานระยะยาวสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้เช่นเดียวกัน โดยกองทุน K- EQUITY มีผลดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีและ 3 ปี อยู่ที่ 3.48% และ 31.41% ตามลำดับ ด้านกองทุน K-STADE มีผลดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีและ 3 ปี อยู่ที่ 6.84%และ 33.74% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 29 มิ.ย. 58)
ข่าวเด่น