กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่ต้องออกมาปรับแผนการทำตลาด ด้วยการปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ต้องออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างคึกคัก เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ภายหลังได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ให้ผู้ประกอบการจำหน่ายกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านต้องออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก คือ การขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของไทย จึงทำให้เปิดตัวโครงการใหม่น้อยลง ขณะเดียวกันในส่วนของผู้ซื้อเองก็ยื้อที่จะจ่ายเงินค่าโอน เพราะรายรับเท่าเดิมแต่รายจ่ายมากขึ้น จึงทำให้การขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมาชะลอตัว ซึ่งปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าวได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน
นายทักษะ บุษยโภคะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โมเดอร์นฟอร์ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้โครงการอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการใหม่ลดลง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ก็โอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าช้าลง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่จับกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลางและล่าง เนื่องจากลูกค้ายื้อไม่ยอมโอนและบางส่วนโอนไม่ได้เพราะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินไม่ผ่าน
ทั้งนี้ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าวยังคงส่งผลกระทบลากยาวมาจนถึงขณะนี้ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ยังคงชะลอตัว อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าปีนี้โมเดอร์นฟอร์มจะรายได้เติบโตน้อยลง แต่โมเดอร์นฟอร์มก็ยืนยันว่าจะพยายามรักษากำไรสุทธิไม่ให้ลดลง เนื่องจากมีแผนที่จะปรับโมเดลการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันยังถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น
เดิมที โมเดอร์นฟอร์ม จะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงาน แต่ปัจจุบันจะหันมาขยายฐานลูกค้าในกลุ่มสถานศึกษา โรงแรม โรงพยาบาล และกลุ่มสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และผู้สูงอายุมากขึ้น เช่นเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ควบคู่กับเครื่องมือแพทย์ และเจลล้างมือ เป็นต้น เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
ล่าสุด โมเดอร์นฟอร์ม ได้เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์ สำหรับใช้งานในสถานศึกษา ห้องเรียน ห้องประชุมหรือสัมมนา โดยได้มีการนำร่องใช้งานที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งหลังจากเดินหน้าปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ ด้วยการหันมาเจาะกลุ่มสถานศึกษา โรงแรม โรงพยาบาล และกลุ่มสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และผู้สูงอายุมากขึ้น โมเดอร์นฟอร์มมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันยอดขายในสิ้นปีนี้ให้อยู่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ประมาณ 4,300 ล้านบาท
นายทักษะกล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ จากการการจำหน่ายสินค้า 70% และการเข้าไปลงทุนในธุรกิจอื่น 30% ซึ่งในจำนวนของรายได้ดังกล่าวเป็นรายได้ที่มาจากการทำตลาดในต่างประเทศต่ำกว่า 5% ซึ่งในอนาคตบริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 10% ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปทำตลาดในจังหวัดใกล้กับแนวชายแดนมากขึ้น เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปลายปีนี้ โดยปัจจุบันบริษัทมีคลังสินค้าที่คอยดูแลเรื่องสินค้า เพื่อส่งขายในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้วที่อุดรธานี ขอนแก่น สระแก้ว และแม่สอด
ขณะที่ โมเดอร์มฟอร์ม ออกมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม ในส่วนของ บริษัท ยัสปาล แอนด์ ซันส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่นอนและอุปกรณ์การนอนก็ออกมาปรับเกมรุก ด้วยการรับสิทธิ์การจำหน่ายที่นอนเทมเพอร์ จากประเทศเดนมาร์ก สำหรับการทำตลาดในประเทศไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่นอนและอุปกรณ์การนอน ซึ่งปัจจุบันบริหารอยู่ 1 แบรนด์ คือ ซีลี่
น.ส.อรเพ็ญ หงส์รัตนอุทัย ผู้จัดการฝ่ายการขายและการตลาดที่นอนและอุปกรณ์การนอน บริษัท ยัสปาล แอนด์ ซันส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัท มีแบรนด์ที่นอนทำตลาดทั้งหมด 3 แบรนด์ แต่ดูแลเอง 2 แบรนด์ คือ ซีลี่ จากอเมริกา แต่ผลิตในไทยทำตลาดในไทยมา 25 ปีแล้ว และล่าสุดได้รับสิทธิ์ต้นปีนี้ คือ แบรนด์เทมเพอร์ จากเดนมาร์ก ซึ่งแบรนด์นี้เคยมีผู้ทำตลาดในไทยแล้ว 10 ปี โดยผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งหลังจากบริษัทได้รับสิทธิ์ให้บริหารแบรนด์เทมเพอร์แทนผู้ประกอบการรายเก่า บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถขยายฐานกลุ่มเป้าหมายขึ้นไปสู่ระดับไฮเอนด์หรือซูเปอร์พรีเมียมได้อย่างแน่นอน
สำหรับภาพรวมการแข่งขันของตลาดที่นอนในประเทศในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง เช่นเดียวกับปีนี้ไม่ว่าจะเป็นที่นอนทั่วไปหรือที่นอนพรีเมียม ทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดที่นอนทั่วไปมีการแข่งขันลดราคากันค่อนข้างรุนแรงเฉลี่ยที่ประมาณ 60-70% หรือลดราคาประมาณ 8,000-9,000 บาท ขณะที่ตลาดที่นอนระดับบนจะเน้นการแข่งขยายช่องทางจำหน่ายและออกสินค้าใหม่ ซึ่งในส่วนของยัสปาล หลังจากออกมารุกทำตลาดที่นอนทั้ง 2 แบรนด์อย่างต่อเนื่อง สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากแบรนด์เทมเพอร์อยู่ที่ 80 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทในปีหน้า ส่วนแบรนด์ซีลี่สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 575 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 525 ล้านบาท
ปัจจุบัน ตลาดรวมที่นอนและอุปกรณ์การนอนพรีเมียมในประเทศไทย มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2,400 ล้านบาท โตเฉลี่ย 2 หลักทุกปี จากการทำตลาดของ 5 แบรนด์หลัก ประกอบด้วย ซีลี่ วางราคาขายเฉลี่ยที่ 50,000 บาท , สลัมเบอร์แลนด์ราคาเฉลี่ย 18,000-20,000 บาท ,โอมาซ ราคาเฉลี่ย 40,000-50,000 บาท ,ดันลอปพิลโล ราคาเฉลี่ย 20,000 บาท และ เทมเพอร์ ราคาเฉลี่ย 150,000-250,000 บาท ซึ่งปัจจุบันแบรนด์ต่างประเทศมีแชร์รวมกัน 60% อีก 40% เป็นแบรนด์ไทย คือ ซินด้า โลตัส และเลดี้ อเมริกาน่า ราคาขายเฉลี่ย 12,000-18,000 บาท
ด้านผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในกลุ่มเซ็นทรัล ก็ออกมาประกาศแผนเชิงรุกเช่นกัน ด้วยการจัดงาน โฮมเวิร์ค เอ็กซ์โป แอท อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งในส่วนของสินค้าที่นำเข้ามาร่วมงานจะมีการลดราคาสูงสุดถึง 80% เพื่อดึงความสนใจของผู้บริโภคให้เข้ามาร่วมงาน
นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในเครือธุรกิจบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า บริษัทเชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน เนื่องจากภาครัฐมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งในส่วนของบริษัทเองก็ได้มีการนำสินค้าในเครือกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ของแต่งบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า กว่า 500 แบรนด์ มาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายครั้งใหญ่ประจำปี เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลออกมาจัดงานใหญ่ ในส่วนของโฮมโปรก็ออกมาจัดแคมเปญ “โฮมโปร แบงค็อกเซล 21 วัน 21 สาขา เฮงทุกบ้าน ทั่วกรุงเทพฯ” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน ด้วยการใช้งบ 15 ล้านบาท จัดงานดังกล่าวเฉพาะสาขาในกรุงเทพฯ จำนวน 21 สาขา นำสินค้าหลากหลายแบรนด์มาลดราคาสูงสุดกว่า 80%
นายณัฏฐ์ จริตชนะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดแคมเปญ “โฮมโปร แบงค็อกเซล 21 วัน 21 สาขา เฮงทุกบ้าน ทั่วกรุงเทพฯ” ในครั้งนี้ นอกจากจะนำสินค้ามาลดราคาพิเศษกว่า 80% แล้ว บริษัทยังมอบความคุ้มให้กับลูกค้าถึง 5 ต่อ ประกอบด้วย คุ้มที่ 1 ช็อปครบภายในงานรับทันทีบัตรของขวัญสูงสุด 12,000 บาท หรือสะสมยอดซื้อภายใน 21 วัน แลกรับฟรีสร้อยคอทองคำหนัก 3 สลึง รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท หรือบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 150,000 บาท
ส่วนคุ้มที่ 2 ลูกค้าบัตรสมาชิกโฮมการ์ด ลดเพิ่มสูงสุด 25% คุ้มที่ 3 สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ลด + รับเพิ่ม สูงสุด 33% ผ่อน 0% ทั้งร้าน นาน 4 เดือน ช้อป 1,000 - 9,999 บาท แลกคะแนนเท่ายอดชำระ ลดเพิ่ม 13% ช้อป 10,000 - 50,000 บาท แลกคะแนนเท่ายอดชำระ ลดเพิ่ม 15% คุ้มที่ 4 สุดยอดนักช้อปตลอดรายการ ฟรีตั๋วเครื่องบินไป-กลับ บินลัดฟ้าสู่ญี่ปุ่น เฉพาะบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม และรับเพิ่มคะแนนสะสม 90,000 คะแนน และคุ้มที่ 5 พร้อมรับสิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตชั้นนำมากมาย รูดแล้วรับเพิ่มได้ทุกบัตร
การออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องของกลุ่มผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านในครั้งนี้ จะสามารถกู้สถานการณ์ยอดขายให้กลับคืนมาได้หรือไม่ หลังจบแคมเปญส่งเสริมการขายในช่วงไตรมาส 3 คงต้องมารอลุ้นไตรมาส 4 อีกครั้งหนึ่งว่า บรรดาผู้ประกอบการจะมีหมัดเด็ดอะไรปล่อยออกมากระตุ้นยอดขายอีกหรือเปล่า เพราะจากการสำรวจของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ระบุว่า กลุ่มค้าปลีกซ่อมแซมและตกแต่งบ้านเป็นกลุ่มที่มีความน่าเป็นห่วงพอสมควร
ข่าวเด่น