การประกาศปรับลดค่าเงินหยวน 3 วันติดต่อกัน ในช่วงวันที่ 11-13 ส.ค.ที่ผ่านมา ของธนาคารกลางจีน สร้างความผันผวนให้กับนักลงทุนทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน สำหรับการอ่อนค่าลงของเงินหยวนเกือบ 5% ได้สร้างความกังวลให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ใกล้ชิดกับการส่งออก จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเรียกประชุมทีมเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับผลกระทบจากกรณีเงินหยวนอ่อนค่า
ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่ากากระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 18 ส.ค.นี้ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเชิญตัวแทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาหารือ เพื่อประเมินถึงผลกระทบต่อภาคการส่งออก และเศรษฐกิจไทย ภายหลังจากที่ธนาคารกลางของจีนได้ประกาศปรับลดค่าเงินหยวนลง 3 ครั้งติดต่อกัน
ซึ่งเชื่อว่าภาคการส่งออกของไทยยังได้รับผลดี โดยการลดค่าเงินหยวนจะช่วยกระตุ้นการส่งออกของจีนให้ดีขึ้น และมีผลให้จีนนำเข้าสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางจากไทยไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งออกได้มากขึ้น กระทรวงฯจึงยังไม่จำเป็นต้องปรับแผนผลักดันการส่งออกใหม่ และจะไม่ปรับเป้าหมายการส่งออกปี 58 ที่ตั้งเป้าหมายติดลบ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับแผนยุทธศาสตร์ในการผลักดันการส่งออกในช่วงที่เหลือนั้น กระทรวงมีกำหนดจะเดินทางไปเยือนตุรกี อิหร่าน สหรัฐฯ จีน เพื่อเจรจาการค้าระหว่างกันให้เพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปเยือนปากีสถาน และได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันที่จะเปิดเจราจาจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้มูลค่าการค้าทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2560 จากปัจจุบันที่มีมูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ที่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า จีนได้ปรับลดค่าเงินหยวน 3 ครั้ง ทำให้เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าไปประมาณ 8-9% แต่หากเทียบเงินบาทอ่อนค่าไปประมาณ 4-5% ถือว่าไม่กระทบมากนัก เพราะช่วงที่ผ่านมา เงินบาทได้ปรับตัวให้อ่อนค่าลงมาเช่นกัน
โดยหากจีนไม่มีการปรับลดค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลงไปอีก เชื่อว่าในระยะสั้น หรือประมาณ 6 เดือนข้างหน้า การส่งออกของไทยจะได้รับอานิสงส์จากการส่งออกของจีน ทำให้ไทยส่งออกไปจีนได้เพิ่มขึ้นจากความต้องการวัตถุดิบการผลิตเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ยังทรงตัวมั่นใจว่า การส่งออกของไทย จะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่คู่ค้าหันไปซื้อสินค้าจากจีนที่ราคาถูกกว่า เนื่องจากคุณภาพสินค้าไทยดีกว่าจีน และคู่ค้ายังมั่นใจในสินค้าไทย
ด้าน นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า กรณีที่รัฐบาลจีนลดค่าเงินหยวนนั้น เชื่อว่าไม่ได้มีผลกระทบที่รุนแรงกับไทย เป็นกรณีเฉพาะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายค่าเงินหยวนของจีน ซึ่งน่าจะเป็นผลกระทบในระยะสั้น ที่ทำให้เกิดความผันผวนต่อตลาดการเงินและตลาดทุนโลก แต่ก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็ว เพราะสถานการณ์การเมืองโลกยังอยู่ภายใต้ภาวะดอลลาร์แข็งค่า จึงส่งผลให้เงินสกุลอื่นๆ อ่อนค่าลง
ข่าวเด่น