ประกัน
"กรุงเทพประกันภัย"ประกาศลั่นไม่ลงเล่นสงครามราคา แม้เศรษฐกิจจะซบ-ธุรกิจเติบโตลดลง ล่าสุดหั่นเป้าเบี้ยโตเหลือ 3% เดินหน้าเน้นธุรกิจรายย่อย-ขยายตลาดภูมิภาค


"กรุงเทพประกันภัย"ยอมรับสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองไม่เอื้อให้ธุรกิจเติบโต หั่นเป้าเบี้ยประก้นภัยเติบโตลดลง เหลือ 3% จากเดิมคาดโต 12% แต่ยังคงกลยุทธ์รักษาอัตราการต่ออายุของลูกค้า พร้อมเน้นรายย่อยและรุกตลาดภูมิภาค ลั่นไม่เน้นแข่งขันด้านราคา ที่ปัจจุบันแข่งเดือด เผยผลดำเนินงานครึ่งปีแรก กำไรสุทธิ 1,157.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% มีเบี้ยประก้ันภัยรับรวม 7,913.7 ล้านบาท ด้าน "ชัย โสภณพนิช" เผยทุ่มเงิน 400 ล้านบาท รอจังหวะดัชนีหุ้นลงแตะ 1,350 จุด ช้อนซื้อหุ้นถูกกลุ่มแบงก์-พลังงาน-อสังหาฯ ลงทุนระยะยาว ชี้มีโอกาสเห็นดัชนีตกวูบ 1,200 จุดเหมือนสิ้นปี 56 พร้อมเตรียมเงินอีกก้อนรอเก็บหุ้นถูก

 

 

นายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของบริษัทฯ ว่า จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจนและไม่รู้จะยืดเยื้อแค่ไหน ประกอบกับภาวการณ์แข่งขันของธุรกิจประกันภัยที่รุนแรง บริษัทฯจึงปรับลดอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยลงอยู่ที่ 3% จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเติบโต 12% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสภาพการแข่งขันของตลาด โดยบริษัทฯยังคงเน้นกลยุทธ์การรักษาอัตราต่ออายุของลูกค้าปัจจุบันเป็นหลัก พร้อมกับขยายงานลูกค้ารายย่อยอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา แต่เน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้เข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด

“ต้องยอมรับว่าปีนี้เป็นอีกปีที่ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหรือจีดีพีไม่ดี โดยล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดตัวเลขจีดีพีเหลือ 2.8% ขณะที่แนวโน้มยอดขายรถยนต์ครึ่งปีหลังยังไม่ดีเช่นกัน โดยโตโยต้าคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ทั้งระบบปีนี้จะเพียงแค่ 8 แสนคัน ลดลง 9.3% เนื่องจาก 6 เดือนแรกปีนี้ยอดขายรถยนต์ติดลบ 16.3% มียอดขายเพียง 3.69 แสนคัน รวมถึงสินเชื่อภาคธนาคารชะลอตัวหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังสูงขึ้น และราคาผลผลิตทางการเกษตร เช่น ยางพารา ข้าว ยังไม่ดีขึ้น ประกอบกับมีภัยแล้งเมื่อต้นปี การส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและประเทศคู่ค้า โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ปรับลดการคาดการณ์การส่งออกของไทยในปีนี้ติดลบ 3% จากเดิมคาดจะเติบโต 1.2% ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐก็ชะลอตัว ดึงโครงการลงทุนภาคเอกชนยังชะลอตัวตามไปด้วย อาทิ การประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส้ม เหลือง และม่วงใต้ วงเงินลงทุนรวม 325,934 ล้านบาท ที่เลื่อนไปเป็นปีหน้า ขณะเดียวกันภาคธุรกิจประกันภัยมีการแข่งขันรุนแรงขึ้นตัดราคากัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยลบต่อทิศทางธุรกิจประกันภัยในครึ่งปีหลังท้ั้งสิ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับทั้งระบบเหลือ 4-6% จากเดิมที่คาดจะเติบโต 8% “นายพนัสกล่าว

นายพนัสกล่าวต่อว่า แนวโน้มการแข่งขันของบริษัทประกันภัยต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง จะเห็นการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากสุด โดยจะมีทั้งในรูปแบบของการแข่งกันลดราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้า การออกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เบี้ยประกันภัย Single rate เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการนำเสนอขายแก่ลูกค้า การเพิ่มช่องทางการให้บริการเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น เช่น ช่องทางสมาร์ทโฟน และการ Segmentation คัดเลือกลูกค้าที่มีความความเสี่ยงต่ำและเสนอส่วนลดเบี้ยประกันภัยแก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เป็นต้น

ฉะนั้นทิศทางการดำเนินงานของกรุงเทพประกันภัยในครึ่งปีหลัง นอกจากจะเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการแล้ว บริษัทฯยังจะเน้นเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้เข้าถึงลูกค้ามากที่สุดด้วย ได้แก่ 1.การขยายสาขาต่างจังหวัด โดยเฉพาะบริเวณจุดการค้าชายแดนและพื้นที่ที่รองรับโอกาสการเติบโตจากการเปิด AEC ซึ่งในปี 2558-2559 นี้ บริษัทฯตั้งเป้าหมายจะเปิดสาขาเพิ่มอีก ที่จังหวัดจันทบุรี สุรินทร์ และชุมพร นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ในระหว่างจัดตั้งบริษัทประกันภัยแห่งใหม่ในประเทศลาว

2.การขยายงานการขายประกันภัยผ่านช่องทาง Bancassurance ของธนาคารกรุงเทพ ทั้งในเขตนครหลวงและภูมิภาค ที่ยังเป็นช่องทางที่มีอัตราการเติบโต โดยเน้นกรมธรรม์ประกันภัยที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เช่น กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล , กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ 2+  และแพคเกจประกันภัยรถยนต์ / รถกระบะ Special

3.การรุกการโฆษณาประชาสัมพันธ์ประกันภัยรถยนต์ Telematics อย่างต่อเนื่อง สร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมาย โดย Telematics จะช่วยให้ลูกค้าได้รับทราบถึงพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ ระบบยังช่วยควบคุมดูแลรถยนต์ในธุรกิจของลูกค้าได้ ด้วยระบบ GPS ติดตามรถยนต์ได้ตลอดเวลา และระบบแจ้งเตือนภัยด้วย SMS เมื่อรถยนต์ออกนอกพื้นที่ เป็นต้น

“การขยายธุรกิจประกันภัยเพื่อรองรับ AEC นั้น ขณะนี้ได้ไปตั้งบริษัทประกันภัยที่เวียงจันทร์ ประเทศลาว โดยใช้ชื่อ “กรุงเทพประกันภัย ลาว” ทุนจดทะเบียน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการร่วมลงทุนระหว่างกรุงเทพประกันภัยที่ถือหุ้นในสัดส่วน 45% และบริษัทประกันภัยของฮ่องกงและอินโดนีเซียที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจประกันภัย อีก 55% ขณะนี้อยู่ระหว่างการฟอร์มงานอยู่ คาดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้”นายพนัสกล่าว

นายพนัสกล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ว่า มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 3,695.2  ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลง 4.8% มีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 244.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.9% รายได้สุทธิจากการลงทุน 373.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% หักเงินสมทบฯและต้นทุนทางการเงิน 18.2 ล้านบาท ทำให้มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 600 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 534 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วยเดียวกันของปีก่อน 29.7% และมีกำไรต่อหุ้นขึ้นพื้นฐาน 5.02 บาท ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งได้ประชุมเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2558 มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2558  แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 2.75 บาท

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ของปี 2558  มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 7,913.7 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 1.7% มีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 665 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% รายได้สุทธิจากการลงทุน 708.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% หักเงินสมทบฯและต้นทุนทางการเงิน 40.6 ล้านบาท ทำให้มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,333.3 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว มีกำไรสุทธิ 1,157.7  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 10.87 บาท

 

 

ด้าน นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมเงิน 400 ล้านบาท เข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับต้วลงมาอยู่ที่ระดับ 1,350 จุด และหากดัชนีตกลงอีกถึงระดับ 1,200 จุด ก็จะใช้เงินอีกก้อนหนึ่งเข้าไปซื้อหุ้นอีก เนื่องจากราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวลดต่ำลงมาก ขณะที่มีพื้นฐานดีน่าลงทุนระยะยาว

“แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย อีก 3-4 เดือนข้างหน้า จะยังคงซบเซาต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีไปแตะที่ระดับ 1,200 จุด อีกครั้ง เหมือนเมื่อสิ้นปี 2556"นายชัยกล่าว


บันทึกโดย : วันที่ : 19 ส.ค. 2558 เวลา : 08:29:24
10-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 10, 2024, 12:01 am