ถือเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสวนกระแสภาพรวมเศรษฐกิจเลยทีเดียว สำหรับ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์จำหน่ายกล้องดิจิทัลบิ๊กคาเมร่า เนื่องจากตลอดระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา ภาพรวมยอดขายของร้านบิ๊กคาเมร่า มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ประกอบการกล้องดิจิทัลมีการปรับตัวผลิตสินค้าออกมาทำตลาด เพื่อสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
สำหรับกล้องที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในขณะนี้คือ ตลาดมิร์เรอเลส เนื่องจากเป็นกล้องที่มีคุณภาพความคมชัดสูงและมีราคาอยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับกล้องอีเอสแอลอาร์ที่ราคาค่อนข้างสูง และกล้องคอมแพ็คที่มีราคาต่ำ ประกอบกับผู้ประกอบการในตลาดกล้องมีการปรับตัวนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใส่ไว้ในกล่องรุ่นดังกล่าว โดยเฉพาะการเชื่อมต่อเทคโนโลยีจากกล้องถ่ายรูปเข้าไปยังสมาร์ทโฟน เพื่อเอาใจลูกค้าที่ชอบถ่ายรูปและแชร์ภาพลงในสื่อโซเชียลมีเดีย
ทั้งนี้จากแนวโน้มดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายของบริษัท บิ๊กคาเมร่าฯ ในปีนี้เติบโตสวนกระแสภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากสามารถขยายฐานลูกค้าเข้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้หญิงได้เป็นอย่างดี โดยในส่วนของภาพรวมผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ประมาณ 20%
ขณะที่ภาพรวมผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรก มีรายได้เติบโตสูงอยู่ที่ประมาณ 20% และไตรมาส 2 มีรายได้เติบโตอยู่ที่ประมาณ 40% ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายครึ่งปีแรกของบิ๊กคาเมาร่ามีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20% สูงกว่าภาพรวมทั้งปีที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีอัตราการเติบโตได้ที่ 10% เท่านั้น
นายธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในด้านของผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจในปีนี้ก็ถือว่าปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน โดยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีรายได้รวมอยู่ที่ 984 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 291 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 692 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 70.80 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 34.98 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท บิ๊กคาเมร่าฯ มีแผนที่จะปรับเป้าหมายรายได้ในสิ้นปีนี้ให้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น จากเดิมที่วางไว้ประมาณ 3,800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ที่ประมาณ 10% แต่จะปรับเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับคณะกรรมการบริหารภายในบริษัท
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ บริษัท บิ๊กคาเมร่าฯ มีแผนที่จะเดินหน้าทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง หลังจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาประมาณเดือน เม.ย.ได้มีการจัดงาน บิ๊กคาเมร่า เฟสติวัล ไปแล้ว และล่าสุดก็ได้มีการจัดงาน บิ๊ก คาเมร่า บิ๊ก โปร เดย์ส ครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 1 – 6 ก.ย. 2558 บริเวณชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Less is More, more Passion งานของคนที่รักการถ่ายภาพห้ามพลาด
ภายในงานนี้จะมีการรวมตัวครั้งสำคัญของแบรนด์กล้องดิจิตอลและอุปกรณ์การถ่ายภาพจากทุกแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งจะมาอัพเดทเทรนด์กล้องถ่ายภาพ พร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษ เช่น กล้องดิจิทัลราคาประมูลเริ่มต้นที่ 1 บาท และการทำโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิตชั้นนำ เพื่อเอาใจผู้ที่รักการถ่ายภาพ ด้วยการโปรแกรมส่งเสริมการขายที่มีให้เลือกหลากหลาย เช่น การเลือกรับส่วนลดสูงสุด 25% หรือการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการนานสูงสุด 24 เดือน รวมไปถึงการใช้คะแนนสะสมในบัตรเพื่อแลกรับส่วนลดสูงสุดที่ 40%
นอกจากนี้ เมื่อซื้อกล้องดิจิทัลทุกเครื่องภายในงาน ยังจะได้รับบัตรของขวัญใช้แทนเงินสดมูลค่า 10,000 บาท เพื่อแลกรับสิทธิ์การอบรวมถ่ายภาพ พร้อมกันนี้ยังมีการกิจกรรมสุด Exclusive ตลอดงาน เพื่อให้ลูกค้าได้ร่วมอัพเดตเทรนด์กล้องดิจิทัลจากแบรนด์กล้องชั้นนำ เช่น Canon, Nikon, Fujifilm, Sony, Olympus, Panasonic, Pentax, Tamron, Sigma, Oska, Fotopro, Nissin, Manfrotto และ Tokina เป็นต้น
นายธนสิทธิ์ กล่าวว่า หลังจากจบการจัดงานดังกล่าวตลอดระยะเวลา 6 วัน คาดว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งหลังจากจบการจัดงานดังกล่าวในช่วงไตรมาส 4 ก็มีจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอีกประมาณ 2 กิจกรรม คือ งานโฟโต้แฟร์ และงานบิ๊ก โบนัส
นายไทสุเกะ ทารุมิ กรรมการผู้จัด การ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้จะใช้กล้องดิจิทัลรุ่นเอ็กซ์-ที10 (X-T10) ในตระกูล เอ็กซ์ ซีรีส์ ซึ่งเป็นกล้องดิจิทัลแบบมิร์เรอร์เลสที่เปลี่ยนเลนส์ได้เป็นเรือธงในการทำตลาดปีนี้ เนื่องจากมีจุดเด่นในด้านการออกแบบ และเทคโนโลยี X-Trans CMOS II ซึ่งพัฒนาคุณภาพให้มีความละเอียดถึง 16 ล้านพิกเซล พร้อมระบบประมวลผล EXRProcessor II ให้ภาพที่มีความคมชัดสูง
นอกจากนี้ ยังมีระบบ ออโต้ โฟกัสแบบใหม่ ที่รวดเร็วสามารถจับภาพที่วัตถุเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี พร้อมมีระบบเชื่อมต่อไวไฟสามารถสั่งการถ่ายภาพและแชร์ภาพจากมือถือ โดยผ่าน คาเมร่า รีโหมด ของฟูจิฟิล์ม คาดว่ากล้องรุ่นนี้จะช่วยให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดกล้องมิลเลอร์เลสเพิ่มเป็น 50% ในสิ้นปีจากปัจจุบันอยู่ที่ 35%
ด้าน นายชึง บุน ชัย ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะเปิดตัวสินค้าใหม่ที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าทั่วไปจนถึงระดับโปรดักชั่นขนาดใหญ่สำหรับกลุ่มมืออาชีพ ด้วยการนำกล้อง EOS 5Ds R และ EOS 5Ds เข้าทำตลาด ซึ่งในส่วนของกล้องรุ่นดังกล่าว จะเป็นกล้องฟูลเฟรมระดับมืออาชีพความละเอียดสูงถึง 50.6 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ CMOS แบบฟูลเฟรม 35 มม.และชิปประมวลผล Dual DIGIC 6 ระบบออโต้โฟกัส 61 จุด แบบ High-Density Reticular พร้อมระบบลดแรงสั่นสะเทือนจากกระจกสะท้อนภาพออกแบบใหม่ ตอบโจทย์ทุกการใช้งานสำหรับมืออาชีพที่เน้นความคมชัดทุกรายละเอียด
สำหรับภาพรวมตลาดกล้องดิจิทัลในปีนี้ มีการคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 5,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนประมาณ 5% เนื่องจากตลาดกล้องคอมแพ็กและกล้องดีเอสแอลอาร์ในเชิงมูลค่ายังคงมีการหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของกล้องคอมแพ็กมีการปรับตัวลดลงประมาณ 52% ขณะที่กล้องดีเอสแอลอาร์มีการปรับตัวลดลงประมาณ 17%
อย่างไรก็ดี จากการที่ตลาดกล้องมิร์เรอร์เลสยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ภาพรวมตลาดกล้องในปีนี้ยังสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ ทั้งในด้านของเชิงปริมาณและมูลค่า ซึ่งจากการขยายตัวของกล้องมิร์เรอร์เลสที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายของกล้องมิร์เรอร์เลสขยับมาอยู่ที่ 40% ส่วนกล้องดีเอสแอลอาร์มีสัดส่วนอยู่ที่ 35% และกล้องคอมแพ็คมีสัดส่วนอยู่ที่ 25%
แต่หากดูเฉพาะตลาดกล้องเปลี่ยนเลนส์ ตลาดกล้องมิร์เรอร์เลสจะมีสัดส่วนยอดขายสูงถึง 70% เลยที่เดียว ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 30% เป็นของตลาดกล้องดีเอสแอลอาร์ ซึ่งจากความนิยมของกล้องมิร์เรอร์เลสที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าในอนาคตสัดส่วนยอดขายของตลาดกล้องมิร์เรอร์เลสจะต้องขยับเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของเชิงปริมาณหรือมูลค่า หากตลาดกล้องคอมแพ็คและดีเอสแอลอาร์ไม่ยอมปรับตัวตามความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ข่าวเด่น