ปลัดคลังฯเผยอยู่ระหว่างศึกษาลดภาษีธุรกิจเฉพาะ ค่าธรรมเนียมการโอน - ค่าธรรมเนียมการจดจำนองอย่างถาวร ยันเสนอเข้าครม.ปีนี้ หวังช่วยดันภาพรวมเศรษฐกิจโต มองมาตรการกระตุ้นศก.รอบใหม่ของรัฐบาล จะทำให้จีดีพีรักษาระดับการเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3% เผยเตรียมทบทวนเป้าอีกครั้ง ธ.ค.นี้
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิด เผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ ค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมการจดจำนองอย่างถาวร เพื่อหวังกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังต้องศึกษาข้อดีข้อ เสียว่าหากลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะกระตุ้น เศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัวได้จริงหรือ ไม่ เปรียบเทียบกับรัฐต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียม โดยจะมีข้อสรุปพื่อเสนอคณะ รัฐมนตรีภายในปีนี้อย่างแน่นอน
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับของผู้มีรายได้น้อยที่ได้ออกมาก่อน หน้านี้นั้น ขณะนี้ธนาคาร ออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรพร้อมแล้วในการ ปล่อยสินเชื่อผ่านกองทุน หมู่บ้านและชุมชน วงเงินรวม 6 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับมาตรการสินเชื่อเอสเอ็มอี และมาตรการ อื่นๆ รวมวงเงิน 1.36 แสนล้านบาท เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้รักษาระดับการเติบโตได้ไม่ ต่ำกว่า 3% ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจและการคลังจะมีการทบทวนประมาณการเศรษบกิจอีกครั้งใน เดือน ธ.ค.58 เนื่องจากได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าสำนักวิจัยเอกชนต่างๆ จะปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือโต 2.5-2.7% ก็ตาม
นางรังสรรค์ กล่าวอีกว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยมาจากปัจจัยหลัก คือ การส่งออกที่หดตัวลงมากจาก ผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงจากปัญหารายได้ของเกษตรกรที่น้อยลง เนื่องจากสินค้า เกษตรทุกชนิดมีราคาตกต่ำ รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลง จะเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของ การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลด ลงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 7 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 83 จาก ปี 57 อยู่ที่ 92.7 อีกทั้งการลงทุนของภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า ทำให้การพัฒนา เศรษฐกิจระยะยาวเกิดการชะงักจากปัญหาหลายๆด้าน
อย่างไรก็ตาม มองว่าหากไทยไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนภาครัฐไม่ได้ ขณะที่การ บริโภคภาคเอกชนก็ชะลอตัว รัฐบาลจะต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้มากขึ้นเพื่อให้เกิดการ จัดซื้อ จัดจ้างให้ทันภายในปีงบประมาณนี้ ซึ่งปัจจุบันก็มีการกำหนดให้สามารถคืนเงินงบประมาณที่ใช้ จ่ายไม่ทันตามกำหนด หรือใช้จ่ายล่าช้ากลับมายังงบประมาณกลาง เพื่อที่จะมีการพิจารณาอนุมัติให้แก่ หน่วยงานที่มีความต้องการเร่งด่วน และพร้อมดำเนินการแทนในทันที
"เชื่อว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง จากอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับ 1% เสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังติดลบ อีกทั้งยังมี เงินคงคลังคงเหลืออยู่ที่ 1 แสนล้านบาท"นายรังสรรค์ กล่าว
ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันมีการปรับตัวดีขึ้น จะเห็นได้จากประเทศเศรษฐกิจหลักอย่าง สหรัฐฯ และยุโรป โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจในสหัรฐฯถือว่ามีทิศทางการขยายตัวดีขึ้นและน่าจะ ขยายตัวได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3/58 จากไตรมาส 2/58 เติบโตราว 2.3% เมื่อเทียบ กับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการว่างงานก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง
ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ของธนาคารกลางสหรัฐ(FOMC)ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะยังไม่ปรับ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ แต่ถึงหากเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ เชื่อว่าฐานะทางการเงิน ของไทยยังมั่นคง โดยมีเงินคงคลัง ณ สิ้นก.ค. 58 ทั้งสิ้น 2.02 แสนล้านบาท และเงินทุนในระบบ อีก 7-8 แสนล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับกระแสการไหลออกของเงินทุนต่างชาติได้ หากเฟดปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย ดังนั้นจึงไม่น่ากังวล
ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซน ในไตรมาส 2/58 เติบโต 1.2% เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกันของปีก่อน โดยประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในยูโรโซน เช่น เยอรมันนี, ฝรั่งเศล, สเปน และอิตาลี มีแนวโน้มทางเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง และการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการ เงินของธนาคารในยุโรป ก็ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการมีความได้เปรียบมากขึ้น ขณะที่กรีซ สถานการณ์ ต่างๆก็เริ่มคลี่คลายลง และเริ่มมีความคล่องตัวมากขึ้น คาดว่ากรีซจะมีการเลือกตั้งได้ในเร็วๆนี้ และน่าจะทำให้มีนโยบายที่ชัดเจนมากขึ้น
สำหรับประเทศจีนที่เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย และเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งของโลกนั้น เศรษฐกิจในไตรมาส 2/58 ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเศรษฐกิจชะลอตัวลง อย่างต่อเนื่องทั้งการค้าปลีก ภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์คงทน และการส่งออก มองว่าก็ มีความเป็นไปได้ที่จีนมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือ ของปีนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวม มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การอ่อนค่าของค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯปรับตัวลด ลง ประมาณ 4.7% ส่งผลกระทบทำให้ค่าเงินบาทต่อค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นประมาณ 2% ขณะที่ไทยมี สัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศจีน 11% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวม สินค้าสำคัญ ได้แก่ สินค้า เม็ดพลาสติกส์ ยางพารา เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่ง สินค้าที่ส่งออกไปจีนอาจจะสูญเสียศักยภาพการแข่งขันในด้านราคา
พร้อมกันนี้ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอีกประเทศหนึ่ง คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ในไตรมาส 2/58 มีการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจราว 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาส 3/58 คาดว่าจะมี แนวโน้มได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์จากต่างประเทศเป็นหลัก จากการปรับตัวอ่อนค่าของค่าเงินเย น การส่งออก การท่องเที่ยว คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น โดยประเด็นที่ควรจะติดตาม คือ ภาระหนี้สินของประเทศญี่ปุ่น ที่มีอยู่ราว 8.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมีหนี้ที่เทียบกับ GDP ราว 216%
ข่าวเด่น