บลจ.กสิกรไทยเผย ตลาดโลกผันผวน แต่ K-GLOBE สร้างผลงานสวนทางตลาด 1 ปีให้ผลตอบแทน 6.9% ขณะที่หุ้นทั่วโลกให้ 2.9% พร้อมชูจุดเด่นของกองทุนที่กระจายลงในหุ้นทั่วโลก และผู้จัดการกองทุนปรับสัดส่วนลงทุนเองได้อย่างเหมาะสม
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาแม้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเผชิญกับความผันผวนอย่างมาก จากหลากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบ อาทิ ปัญหาหนี้กรีซ ความผันผวนในตลาดหุ้นจีน รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง แต่กองทุนเปิดเค โกลบอล อิควิตี้ (K-GLOBE) ของบลจ.กสิกรไทย ยังคงสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 11 กันยายน 2558 กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 4.61% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานดัชนีหุ้นโลก (MSCI ACWI) ซึ่งอยู่ที่ 2.15% ขณะที่ผลการดำเนินงาน 1 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 6.94% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 2.89% ต่อปี และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 11.58% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 11.33% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.ย. 2558)
จุดเด่นของกองทุน K-GLOBE คือเป็นกองทุนที่มีนโยบายกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยทีมผู้จัดการกองทุนของบลจ.กสิกรไทยจะเลือกพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นในต่างประเทศ (กองทุน ETF) ซึ่งกองทุนเหล่านี้จะนำเงินไปลงทุนในหุ้นของประเทศใดประเทศหนึ่งหรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งทั่วโลก และจะมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในแต่ละภูมิภาคอย่างเหมาะสม โดยผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาเลือกตลาดที่มีโอกาสเติบโตได้ดีและจับจังหวะการลงทุนให้ทันต่อสภาวะตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงใช้นโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น กองทุน K-GLOBE จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และผสมผสานพอร์ตลงทุนไปยังต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้น และสามารถรับความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นทั่วโลก รวมถึงสามารถลงทุนในระยะยาวเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนจากการเติบโตของหุ้นทั่วโลกได้
“ปัจจุบันกองทุน K-GLOBE ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นและยุโรปมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นเหล่านี้ มีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ขณะที่ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยให้เหตุผลด้านระดับราคาที่ปรับตัวขึ้นสูงขึ้น ทำให้มีโอกาสในการปรับขึ้นค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมเชื่อว่าแนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะยังเติบโตต่อเนื่องด้วยมุมมองระยะยาว โดยเฉพาะถ้าหากสหรัฐฯ มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในอนาคต จะส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้มีความน่าสนใจลดลง และจะยิ่งส่งผลบวกต่อการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นได้” นายนาวินกล่าวในที่สุด
ทั้งนี้ ภายหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) คงอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาดส่วนใหญ่และนับเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำยาวนานติดต่อกันเป็นปีที่ 7 โดย FED ให้เหตุผลว่ายังมีความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมที่ยังชะลอตัว ประกอบกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงตัวเลขการขยายตัวภาคแรงงานที่ยังออกมาไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม FED ยังมีการส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ทุกเมื่อในรอบการประชุมที่เหลือของปีนี้ คือในเดือนตุลาคมและธันวาคม 2558 โดยตัวแปรสำคัญในการพิจารณาคาดว่าน่าจะมาจากทิศทางของตลาดแรงงานที่จะปรับตัวได้ดีขึ้น รวมถึงเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งตั้งไว้อยู่ที่ระดับ 2%
“สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นภายหลังการประชุม ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED คาดว่าจะยังส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกมีความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนที่ยังคงชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อการลงทุนในต่างประเทศ โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นยุโรปในระยะยาว เพราะมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะได้รับอานิสงส์มาจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางของแต่ละประเทศและการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านมาตรการ QE จะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกยังมีอยู่สูง” นายนาวินกล่าว
ข่าวเด่น