ยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดสำหรับตลาดนมถั่วเหลือง เนื่องจากปัจจุบันมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้น จึงทำให้ภาพรวมตลาดนมถั่วเหลืองมีความคึกคักตามไปด้วย สำหรับปีนี้มีการณ์คาดการณ์กันว่าภาพรวมตลาดนมถั่วเหลืองน่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 8% แม้ว่าจะเติบโตไม่มากเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา แต่จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ซบเซาอัตราการเติบโตในระดับดังกล่าวถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากธุรกิจอื่นๆ มีอัตราการเติบโตต่ำกว่านี้
ปัจจุบันตลาดรวมผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มในประเทศไทย มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 55,508 ล้านบาท (รวมทุกผลิตภัณฑ์ทั้งนมวัว นมถั่วเหลือง นมเปรี้ยว นมผสมมอลต์ ที่เป็นยูเอชทีพาสเจอไรซ์ และสเตอริไลซ์) มีการเติบโต 5% เทียบจากปีที่ผ่านมา ซึ่งจากมูลค่าดังกล่าว หากแบ่งสัดส่วนการบริโภคจะเป็นในกลุ่มน้ำนมถั่วเหลือง 97.36%, น้ำนมข้าวโพด 63.16%, น้ำนมข้าวกล้อง 35.53%, น้ำนมลูกเดือย 28.95%, น้ำนมข้าวโอ๊ต 15.79%, เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพผลิตภัณฑ์จากธัญพืชประเภทอื่นๆ 6.58% และน้ำนมเมล็ดทานตะวัน 5.26%
ทั้งนี้ จากอัตราการบริโภคน้ำนมถั่วเหลือที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตลาดน้ำนมธัญพืชอื่นๆ ส่งผลให้ปัจจุบันตลาดนมถั่วเหลือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 18,500 ล้านบาท มีแลคตาซอยเป็นผู้น้ำตลาด ตามด้วยไวตามิลด์ ส่วนแบรนด์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นดีน่า หรือมารูซันที่เพิ่งเปิดตัวเข้ามาทำตลาด ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดที่น้อยมาก แต่ถึงแม้ว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่น้อย เนื่องจากผู้บริโภคยังคงติดกับสินค้าแบรนด์เดิมที่มีอยู่ในตลาด แต่ก็สามารถสร้างความคึกคักให้กับตลาดนมถั่วเหลืองได้ไม่น้อย เพราะแบรนด์น้องใหม่ดังกล่าวล้วนแต่เป็นสินค้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค
อย่างไรก็ดี ในฐานะที่แบรนด์แลคตาซอยเป็นผู้นำในตลาดนมถั่วเหลือง ส่งผลให้แลคตาซอยต้องออกมาขับเคลื่อนตลาด ด้วยการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต หลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) แลคตาซอยมีแผนที่จะขยายโรงงานแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะ
นายกมล ลิขิตกาญจนกุล ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท แลคตาซอย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มนมถั่วเหลืองแลคตาซอย กล่าวว่า ในอีก 3 ปีนับจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะสร้างโรงงานแห่งที่ 3 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาทำเลในภาคอีสานและภาคกลาง ซึ่งแผนการดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงจากการใช้น้ำและไฟฟ้าที่มากเกินไปจากโรงงานที่ดำเนินการผลิตอยู่ทั้ง 2 แห่ง ขณะเดียวกันยังถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจไปในตลาดอาเซียน จากปัจจุบันได้เริ่มส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดแล้วในประเทศลาว พม่า และกัมพูชา
เหตุผลที่ทำให้แลคตาซอยยังต้องรอเวลาอีก 3 ปีถึงจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 600-700 ล้านบาท เพราะโรงงานแห่งที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างภายใต้งบลงทุน 500 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องผลิตสินค้าได้ประมาณไตรมาส 2 ของปี 2559 ซึ่งหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จคาดว่าจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านกล่องต่อปี โดยในส่วนของกำลังการผลิตดังกล่าว แลคตาซอยเชื่อว่าจะสามารถรองรับการขยายธุรกิจได้อีกเพียง 2 ปีเท่านั้น จึงทำให้แลคตาซอยตัดสินใจก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ขึ้นมารองรับการขยายธุรกิจในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
นายกมล กล่าวต่อว่า จากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นทุกปี รวมทั้งแลคตาซอยมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังประเทศในกลุ่มเออีซีเพิ่มขึ้น ด้วยการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในปี 2559 ภายในโรงงานแห่งเดิมที่ จ.ปราจีนบุรี ด้วยการใช้เครื่องจักรแบบไฮสปีดเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตทุกเครื่อง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 2,000 ล้านกล่องต่อปี เป็น 3,000 ล้านกล่องต่อปี ซึ่งในส่วนของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว นอกจากจะใช้ทำตลาดในประเทศแล้ว ยังจะใช้ทำตลาดต่างประเทศควบคู่กันไปด้วย โดยในอีก 3-5 ปีนับจากนี้ บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากตลาดส่งออกไม่ต่ำกว่า 30% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 10%
สำหรับแผนการตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แลคตาซอยมีแผนที่จะจัดระบบการจัดวางสินค้าใหม่ในทุกช่องทาง รวมทั้งจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้นอีก 20% เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงไฮซีซั่น เนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีจะมีเทศกาลสำคัญอย่างเทศกาลกินเจที่จะช่วยสร้างยอดขายให้เติบโตมากกว่าปกติ ซึ่งในส่วนของกลยุทธ์ที่แลตตาซอยจะนำมาใช้ในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้ จะทำการตลาดภายใต้แคมเปญ "กินเจ ไม่จำเจกับแลคตาซอย" เพื่อเชิญชวนผู้ที่ถือศีลกินเจมาร่วมอิ่มบุญสุขใจกับนมถั่วเหลืองแลคตาซอยสูตรเจ
ในส่วนของนมถั่วเหลืองแลคตาซอยสูตรเจที่ได้นำมาทำตลาดในปีนี้มีด้วยกัน 3 รสชาติ ประกอบด้วย 1. ไฮแคลเซียม นมถั่วเหลือง 100% น้ำตาลน้อย อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด 2. งาดำ นมถั่วเหลืองผสมเนื้องาดำธรรมชาติ พร้อมคุณประโยชน์จากวิตามินและแร่ธาตุกว่า 13 ชนิด ที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน และ 3.กรีนทรี นมถั่วเหลืองผสมคุณค่าของผงชาเขียวแท้ เพิ่มความสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าระหว่างวัน
นอกจากจะนำสินค้ารสชาติใหม่เข้ามาทำตลาด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคแล้ว แลคตาซอยยังได้มีการใช้งบ 20 ล้านบาท จากงบการตลาดที่เตรียมไว้ทั้งปีที่ 600 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงเทศกาลกินเจ ด้วยการมอบส่วนลดราคาพิเศษกับทุกร้านค้า และจัดกิจกรรมทางออนไลน์ด้วยการชวนผู้ใจบุญมากดไลค์และแชร์ภาพกิจกรรมที่ www.facebook.com/lactasoyclub ตั้งแต่วันนี้ถึง 10 ต.ค.นี้ ทุก 1 แชร์ จะเปลี่ยนเป็นแลคตาซอย 1 กล่อง เพื่อส่งบุญนำไปบริจาคให้กับโรงเจ 10 แห่ง ซึ่งหลังจากจบเทศกาลกินเจ แลคตาซอยคาดว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
นายกมล กล่าวอีกว่า ขณะนี้แลคตาซอยถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดเครื่องดื่มนมถั่วเหลืองติดต่อกันเป็นปีที่ 10 ด้วยการมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 55% จากมูลค่าตลาดรวม 18,500 ล้านบาท โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นทุกปี ในปีนี้มียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 12% ซึ่งนับว่าเติบโตสวนกระแสตลาดที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 8% เท่านั้น โดยหลังจากออกมาขยายฐานลูกค้าและทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีนี้จะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 11,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 12% และในอีก 5 ปีนับจากนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมเพิ่มเป็น 18,000-20,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัท แลคตาซอย ถือเป็นผู้ผลิตนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มยูเอชที แบบบรรจุกล่องรายแรกในประเทศไทย และเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคมายาวนานกว่า 34 ปี ด้วยกระบวนการผลิตที่ทันสมัย และเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงของ Tetra Pak ประเทศสวีเดน และ SIG Combibloc ประเทศเยอรมันนี แลคตาซอยสามารถผลิตนมถั่วเหลืองสู่ท้องตลาดได้มากกว่า 1,200 ล้านกล่องต่อปี และยังส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศกว่า 35 ประเทศทั่วโลก โดยมีขนาดบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ 125 มิลลิลิตร จนถึงขนาด 1,000 มิลลิลิตร
ด้วยความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของที่แลคตาซอยทำมาอย่างต่อเนื่อง 34 ปี เพื่อให้ได้นมถั่วเหลืองที่มีคุณภาพสูงสุด และปลอดภัยกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง เชื่อว่าเป้าหมายในอีก 5 ปีที่ต้องการจะผลักดันให้มียอดขายทะลุ 20,000 ล้านบาท ไม่น่าจะยากเกินความสามารถของเหล่าผู้บริหารแลคตาซอย เพราะผู้บริโภคชาวไทยมีแนวโน้มการบริโภคนมถั่วเหลือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีอัตราเฉลี่ยการบริโภคนมถั่วเหลืองอยู่ที่ประมาณ 2.2 ล้านตันต่อปี
จากปริมาณการบริโภคที่สูงดังกล่าว หากผู้ประกอบการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าภาพรวมตลาดนมถั่วเหลืองในปีต่อไป จะกลับมามีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักอีกครั้งอย่างแน่นอน ถ้าไม่มีปัจจัยลบมาให้กำลังซื้อของผู้บริโภคสะดุดเหมือนกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ข่าวเด่น