ในที่สุดรัฐบาลก็อนุมัติมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการให้โอกาสผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยรายละเอียดขอมาตรการดังกล่าว นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการสนับสนุนธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ แบ่งออกเป็น 3 มาตรการย่อย ประกอบด้วย

มาตรการช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชนที่ขอสินเชื่อไม่ผ่านจากสาบันการเงิน ให้สามารถมีโอกาสกู้เงินได้ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท โดยโครงการนี้มีระยะเวลา 1 ปี ขณะที่เงื่อนไขจะเป็นไปตามที่ ธอส.กำหนด

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% โดยไม่จำกัดมูลค่าของบ้าน ซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้น 6 เดือน และการช่วยเหลือเงินได้บุคคลธรรมดาที่ซื้อบ้านมูลค่าต่ำกว่า 3 ล้านบาท โดยสามารถนำ 20% ของมูลค่าบ้านมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ มีระยะเวลาถึงวันที่ 31 ธ.ค.2559 ซึ่งเชื่อว่ามาตรการอสังหาริมทรัพย์จะมีความเชื่อมโยงกับทุกด้านทำให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้

อย่างไรก็ตาม มาตรการอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะลดค่าโอนและจดจำนองสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท และมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1,000 ล้านบาท แต่จะมีภาษีอื่นๆ เข้ามาทดแทน

ด้าน นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ว่า เบื้องต้นประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบวก ส่งผลดีต่อทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์และภาคก่อสร้าง ซึ่งหากภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น ภาควัสดุก่อสร้างก็จะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย แต่จะเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจนอย่างไร จะต้องติดตามผลในระยะต่อไป

ขณะที่ นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (เจแอลแอล) กล่าวว่า แม้มาตรการดังกล่าวจะเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น แต่นับเป็นข่าวดีสำหรับตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม โดยเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นให้มีการเร่งการซื้อและโอนบ้าน-คอนโดให้เร็วขึ้น แต่โครงการบ้านและคอนโดที่ก่อสร้างยังไม่เสร็จพร้อมให้โอนในช่วง 6
เดือนข้างหน้าจะไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้

แต่มาตรการดังกล่าวนับเป็นแนวทางหนึ่งที่ดี เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจที่อยู่อาศัยในช่วงที่การซื้อขายชะลอตัว การกระตุ้นให้มีการซื้อและการโอนเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมความเข้มแข็งทางการเงินให้กับผู้พัฒนาโครงการให้สามารถลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อไปได้ และยังเป็นส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจมหภาคของประเทศในอนาคต