แม้ว่าภาพรวมสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดต่างจังหวัดจะยังอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรอยู่ในภาวะตกต่ำ เพราะได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และล่าสุดบางจังหวัดก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ซึ่งจากปัจจัยที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัด ที่ปรับตัวลดลงอยู่แล้ว ยิ่งปรับตัวลดลงมากขึ้น
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะหนักหนาสาหัส แต่หากมองระยะยาวตลาดต่างจังหวัด ถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมากทีเดียว เนื่องจากมีคู่แข่งไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตจึงเล็งเห็นโอกาส ด้วยการออกมาประกาศตัวเข้าไปขยายธุรกิจในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อเก็บเกี่ยวรายได้จากกลุ่มเป้าหมายต่างจังหวัดที่อีกไม่นานจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
หนึ่งในผู้ประกอบการของกลุ่มธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตที่ออกมาประกาศว่าจะรุกตลาดต่างจังหวัดอย่างจริงจังรายล่าสุด คือ บริษัท อิออน(ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้ชื่อ "แม็กซ์แวลู" และ "แม็กซ์แวลูทันใจ" โดยแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2559 มีแผนที่จะเปิดร้านแม็กซ์แวลูเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5 สาขา เน้นทำเลในตลาดต่างหวัดเป็นหลัก
นายมาซามิซึ อิคุตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิออน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2559 บริษัทจะขยายร้านแม็กซ์แวลู เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 7 สาขา ภายใต้งบลงทุนสาขาละประมาณ 40-50 ล้านบาท บนพื้นที่ประมาณ 1,500 ตร.ม. ขณะเดียวกันจะทำการขยายสาขาร้านแม็กซ์แวลู ทันใจ เพิ่มขึ้นอีก 17 สาขา ภายใต้งบลงทุน 5 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากเดิมที่เคยใช้สาขาละประมาณ 7-8 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการปรับลดขนาดพื้นที่ร้านเหลือ 200 ตร.ม.จาก 300 ตร.ม.เนื่องจากมีการปรับลดพื้นที่ในส่วนของครัวออกไป ซึ่งในส่วนของสาขาใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า บริษัทจะขยายให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในตลาดต่างจังหวัดควบคู่ไปกับกรุงเทพฯ โดยทำเลที่มองไว้ว่าจะเข้าไปเปิดให้บริการ คือ พัทยา มหาชัย และลำลูกกา เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะใช้งบลงทุน 330 ล้านบาท ในการทำธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ “อิอน ศรีราชา” ภายใต้แนวคิด NSC (Neighborhood Shopping Center) ในอำเภอศรีราชา จังหวัลชลบุรี บนพื้นที่ 10,000 ตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ประมาณ 2,500 ตร.ม. ร้านอาหารญี่ปุ่น ประมาณ 4,500 ตร.ม. ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 3,000 ตร.ม.จะเป็นพื้นที่ในส่วนของลานจอดรถ
สำหรับจุดเด่นของ อิออน ศรีราชา ที่กำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ต.ค. นี้ จะเป็นในส่วนของการเป็นห้างค้าปลีกสไตล์ญี่ปุ่น โดยอัตราส่วนของสินค้าที่นำมาจำหน่ายจะเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น 20% พร้อมกันนี้ ยังชูจุดเด่นในด้านของการมีร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ 100% จากผู้ประกอบการโดยตรงจากประเทศญี่ปุ่น และแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น ภายใต้การดำเนินงานของผู้ประกอบการชาวไทย ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการบริษัท อิออนฯ ได้เตรียมงบไว้ที่ประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขายให้กับห้างค้าปลีกดังกล่าว โดยในแต่ละวันคาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3,500 คน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5,000-6,000 คน ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งในกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ คาดว่าจะเป็นคนไทย 80% และต่างชาติ 20%
นายมาซามิสึ กล่าวอีกว่า การเปิดตัวโครงการอิอน ศรีราชา ในครั้งนี้ ถือเป็นรูปแบบการลงทุนนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกของโลก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการสาขาดังกล่าว ในปีต่อไปบริษัทมีแผนที่จะขยายโครงการในรูปแบบดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 1 สาขา ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจร้านแม็กซ์แวลู และร้านแม็กซ์แวลู ทันใจ โดยภายในปี 2563 บริษัทคาดว่าจะมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการครบ 500 สาขาอย่างแน่นอน
จากแนวทางดังกล่าว บริษัท อิออนฯ มั่นในว่า สิ้นปี 2563 จะมีสัดส่วนรายได้จากการดำเนินธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 30% อย่างแน่นอน จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 10% จากรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งในส่วนของรายได้จากธุรกิจค้าปลีกในปี 2558 บริษัทอิออนฯคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ประมาณ 15-17% แบ่งเป็น รายได้จากร้านแม็กซ์แวลู 70% ร้านแม็กซ์แวลู ทันใจ 20% และอิอน ศรีราชา 10%
ขณะที่ บริษัท อิออนฯ เดินหน้าขยายธุรกิจค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต และคอมมูนิตี้มอลล์ ด้วยการยึดหัวหาดตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก ในส่วนของบริษัท ฟู้ดแลนด์ ซูเปอร์มาร์เก็ต จำกัด ก็ออกมาประกาศแผนลุยขยายสาขาร้านฟู้ดแลนด์มากขึ้นเช่นกัน ด้วยการยึดทำเลตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากยังมีช่องว่างให้เข้าไปขยายธุรกิจได้อีกมาก
นายสมศักดิ์ ตีระพัฒนกุล ประธานกรรมการ บริษัท ฟู้ดแลนด์ ซูเปอร์มาร์เก็ต จำกัด กล่าวว่า นับจากนี้เป็นต้นไปบริษัทจะขยายสาขาร้านฟู้ดแลนด์ปีละไม่ต่ำกว่า 2-3 สาขา เดินตามแผนงานเดิมที่เคยวางไว้เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตมีการแข่งขันกันรุนแรง ทำให้บริษัทต้องออกมารักษาฐานลูกค้าเก่าควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของทำเลที่จะยึดเป็นหลักในการขยายสาขาจะเน้นไปที่ตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีฟู้ดแลนด์เปิดให้บริการในตลาดต่างจังหวัดเพียง 3 สาขาเท่านั้น คือ สาขามหาชัย ถ.พระราม 2 สาขาพัทยา และสาขาพุทธมณฑล
สำหรับสาขาใหม่ที่จะเปิดให้บริการเพิ่มในปี 2559 นี้ จะประกอบไปด้วย สาขาศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช สาขาเทอร์มินอล 21 ขอนแก่น และสาขาเทอร์มินอล 21 พัทยา โดยในส่วนของพื้นที่ที่จะทำการเปิดสาขาใหม่จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 ตร.ม. ซึ่งรูปแบบของการขยายสาขาใหม่นับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป บริษัท ฟู้ดแลนด์ฯ จะหันมาจับมือกับพันธมิตรมากขึ้น เพื่อให้การขยายสาขาทำได้เร็วกว่าที่ผ่านมา
ส่วนแผนการขยายสาขาในปีนี้ บริษัท ฟู้ดแลนด์ฯ ได้เปิดสาขาใหม่จำนวน 2 แห่ง คือ สาขา ถ.พระราม 2 กม.8 และสาขาศูนย์การการค้าเดอะ สตรีท ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งเดิมพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขารัชดาภิเษก โดยในส่วนของฟู้ดแลนด์จะเข้าไปเปิดให้บริการบนพื้นที่ 2,000 ตร.ม.บริเวณชั้นใต้ดินของศูนย์การค้าเดอะสตรีท ซึ่งจากจำนวนสาขาใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลให้สิ้นปีนี้ ฟู้ดแลนด์จะมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการทั้งหมด 18 สาขา เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการทั้งหมด 16 สาขา
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สาขาใหม่ที่จะเปิดให้บริการดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนอยู่ที่สาขาละประมาณ 50-60 ล้านบาท ซึ่งหลังจากเดินหน้าเปิดร้านฟู้ดแลนด์สาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 7,500 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 5% และจากจำนวนสาขาใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในอีก 3-5 ปี จะมีร้านฟู้ดแลนด์เปิดให้บริการทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 26 สาขา และมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน
นอกจาก 2 ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตจะลุยเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องแล้ว ในส่วนของยักษ์ใหญ่อย่างบริษัท เซ็นทรัลฟู้ดรีเทล ผู้ดำเนินธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือท็อปส์ และบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตโฮมเฟรชมาร์ท และกรูเมต์มาร์เก็ต ก็เดินหน้าขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งจากความคึกคักที่เกิดขึ้นดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมค้าปลีกเซ็กเม้นท์ซูเปอร์มาร์เก็ตถึงมีอัตรากาเรติบโตสวนกระแสภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกที่สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพียง 2.5% เท่ากับจีดีพีประเทศเท่านั้น
ข่าวเด่น