หลังจากมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเผยแพร่ภาพดาราถือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โพสต์ในสื่อโซเชียลมีเดีย จนกลายเป็นเรื่องบานปลายใหญ่โต เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2557 มาตรา 32 ซึ่งห้ามโฆษณาเชิญชวนให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
โดยการกระทำดังกล่าวทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างกระทำการโฆษณาถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย ซึ่งจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะมีการพิจารณาตามฐานความผิด โดยหากเป็นการกระทำผิดครั้งแรกจะปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท ถ้าทำผิดเป็นครั้งที่ 2 จะมีโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และถ้ายังทำผิดอีกจะมีโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว สร้างความระส่ำระสายให้กับผู้ประกอบการและดาราที่เข้าข่ายกระทำความผิดพอสมควร เห็นได้จากการที่ดาราแต่ละคนที่มีรายชื่อและภาพในการทำกิจกรรมร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างทยอยกันเข้าไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงกับกับเหตการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกันในฝั่งของประชาชนผู้บริโภคเองก็ต้องร้อนๆ หนาวๆ เนื่องจากการโพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงในโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการจงใจ ไม่มีเจตนา หรือไม่ทราบกฎหมาย ก็ถือเข้าข่ายความผิดตามมาตรานี้เช่นเดียวกับดาราที่ตกเป็นข่าว เนื่องจากในภาพถ่ายเห็นภาพฉลากของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหากมีการใส่ข้อความเพื่อโฆษณา อีก จะถือเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายฐานโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามมาตรา 32 ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ หากมองในด้านของธุรกิจ อาจมองได้ 2 มุม คือ มุมที่ 1 จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจทำให้ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปีนี้อยู่ในภาวะซบเซา เนื่องจากไตรมาส 4 ถือเป็นหน้าขายสินค้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งผู้ประกอบการทุกรายต่างลุ้นว่า ไตรมาสนี้จะช่วยพยุงให้ยอดขายขยับตัวเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมายังไม่มีปัจจัยบวกที่จะทำให้ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลับมาฟื้นตัว เนื่องจากถูกปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลงรุมเร้า
ส่วนอีก 1 มุมที่สามารถมองได้ คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว แม้ว่าจะเป็นการทำผิดกฎหมาย แต่หากมองในด้านของการตลาด ถือเป็นการช่วยสร้างแบรนด์สินค้าให้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นข่าวได้เป็นอย่างดี โดยที่เจ้าของสินค้าไม่ต้องเสียค่าการตลาดแม้แต่น้อย เพราะจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่แพร่สะพัดออกไป ไม่ว่าจะเป็นในด้านของแพ็คเกจจิ้ง หรือรสชาติ อาจทำให้ผู้บริโภคที่เข้ามาอ่านข้อความเกิดการอยากทดลอง ซึ่งจากการปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ตกเป็นข่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีสีแพ็คเกจจิ้งใกล้เคียงกันต้องออกมาปรับบรรจุภัณฑ์ในการขนส่ง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด
จากกฎหมายที่เข้มงวด ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องพลิกแผนการทำธุรกิจ ด้วยการหันมารุกธุรกิจนอนแอลกอฮอล์ในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ซึ่งค่ายหลักที่ออกมาประกาศตัวชัดเจนว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนอนแอลกอฮอล์ให้เพิ่มขึ้นเข้ามาใกล้เคียงกับธุรกิจแอลกอฮอล์ที่เคยสร้างรายได้หลัก คือ ค่ายสิงห์ และค่ายช้าง โดยธุรกิจที่ออกมาประกาศสร้างรายได้ก็มีทั้งในส่วนของธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และอสังหาริมทรัพย์
ล่าสุด ค่ายช้าง โดยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ก็ออกมาย้ำวิสัยทัศน์ปี 2020 ด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำ 1 ใน 2 ของตลาดเครื่องดื่มทุกประเภทในอาเซียน พร้อมปรับโครงสร้างสินค้าและผู้บริหาร ด้วยการใช้เม็ดเงินลงทุนสูงถึง 5,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ที่เคยประกาศไว้ ด้วยการมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์สินค้า ควบคู่ไปกับการสร้างยอดขายและผลกำไรทางธุรกิจ ขณะเดียวกันก็จะทำการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจพร้อมกับปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท เพื่อให้การดำเนินธุรกิจในทุกรูปแบบมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการแบ่งทัพธุรกิจ เป็น 3 กล่ม คือ 1.กลุ่มสุรา 2. กลุ่มเบียร์ และ 3. กลุ่มเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์
ในส่วนของกลุ่มสุรา ล่าสุดได้มีการปรับโครงสร้างผู้บริหารและผู้ดูแลในแต่ละกลุ่มใหม่ พร้อมกำหนดสินค้าตัวหลักในการรุกตลาดสุรา ด้วยการใช้แบรนด์รวงข้าว แสงโสม และเบลนด์ 285 และ 285 ซิกเนเจอร์ เป็นสินค้าหลักในการทำตลาดทั้งในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และพม่า ส่วนกลุ่มเบียร์ จะเน้นทำตลาดเบียร์ในระดับพรีเมียมเป็นหลัก โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัว “ช้าง” ในดีไซน์บรรจุภัณฑ์แบบใหม่ ภายใต้ขวดสีเขียวมรกต เพื่อสะท้อนความสดชื่นและความพรีเมียม
ขณะที่กลุ่มนอนแอลกอฮอล์จะมีบริษัท โออิชิ จำกัด (มหาชน) เจ้าของเครื่องดื่มชาเขียวแบรนด์ โออิชิ โออิชิฟรุตโตะ และร้านอาหารในเครือโออิชิ, บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) เจ้าของสินค้าเครื่องดื่มน้ำอัดลมแบรนด์เอส น้ำดื่มคริสตัล และเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ เป็นหัวหอกหลักในการทำธุรกิจในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทในเครือ อย่าง บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ จำกัด หรือ เอฟ แอนด์ เอ็น ที่ไทยเบฟได้เทกโอเวอร์มาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เป็นตัวหลักในการดำเนินธุรกิจผลิตอาหารและเครื่องดื่มหลายแบรนด์รายใหญ่ในอาเซียน
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว บริษัท ไทยเบฟฯ มั่นใจว่า ภายในปี 2563 จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจนอนแอลกอฮอล์ เพิ่มเป็น 50% ได้อย่างแน่นอน จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 25% อีก 75% เป็นรายได้จากเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัท ไทยเบฟฯ คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท
ด้าน บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือสิงห์ คอร์ปอเรชั่น ก็ออกมาประกาศแผนรุกธุรกิจนอนแอลกอฮอล์มากขึ้นเช่นกัน ด้วยการหันมารุกขยายธุรกิจเครื่องดื่ม อาหาร ผลิตขวดแก้ว และอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งจากแนวทางดังกล่าว บริษัท บุญรอดฯ เคยออกมาประกาศเป้าหมายในสิ้นปีนี้ว่า จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1.8-2 แสนล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจแอลกอฮอล์ 60% และธุรกิจนอนแอลกอฮอล์ 40% แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจเบียร์ 1.2-1.3 แสนล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 30,000 ล้านบาท ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 16,000 ล้านบาท ธุรกิจแก้วบางกอกกล๊าส 13,000-14,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจพลังงานและอื่นๆ
นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจนอน-แอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ไป จะไม่ใช่แค่การรุกทำธุรกิจเบียร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ธุรกิจจะมีหลากหลายและกว้างออกไปมากขึ้น โดยธุรกิจที่จะให้ความสนใจนับจากนี้ คือ ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ อสังหาริมทรัพย์ ผลิตบรรจุภัณฑ์ พลังงาน และการร่วมทุนต่างๆ กับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจมีความหลากหลายและแข็งแกร่งมากขึ้น
แม้ว่า 2 ค่ายยักษ์น้ำเมา จะหันมารุกธุรกิจนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า การแข่งขันของ 2 ยักษ์ค่ายน้ำเมาในกลุ่มของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะลดลง เพียงแต่ตอนนี้ขอพักรบชั่วคราว หลังจากมีกฎข้อบังคับที่มากขึ้น อย่างไรก็ดี คาดว่าเร็วๆ นี้ 2 ค่ายคงจะสาดกลยุทธ์น้ำเมาใส่กันอีกอย่างแน่นอน เพราะล่าสุดมีกระแสข่าวออกมาว่าค่ายสิงห์พลาดท่า ยอดขายลด หลังจากค่ายช้างปรับแพ็คเกจใหม่สู้
ข่าวเด่น