ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาถ้าพูดถึงข่าวในแวดวงกีฬาคงไม่มีข่าวไหนได้รับความสนใจเท่ากับการที่ บีอิน สปอร์ต คว้าชัยขนะในการประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2016-2019 เนื่องจากชัยชนะที่ บิอิน สปอร์ตได้รับดังกล่าว เป็นเม็ดเงินที่ใช้น้อยกว่าบริษัท เคเบิลไทย โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือซีทีเอช ได้รับชัยชนะใน 3 ฤดูกาลที่ผ่านมาถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ การคว้าชัยชนะของ บีอิน สปอร์ต ยังส่งผลให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบสำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทยที่มีความสนใจจะซับไลเซ่นต่อจากบีอิน สปอร์ต เนื่องจาก บีอิน สปอร์ต ซึ่งเป็นเครือข่ายของสถานีข่าวอัลจาซีร่า มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัท ทรูวิชั่นส์ ปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ผู้ประกอบการรายอื่นในประเทศไทยเสียเปรียบในการเข้าไปร่วมเจรจาขอซับไลเซ่นบริหารสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษในประเทศไทย
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการเผยแพร่ข่าวว่า บีอิน สปอร์ต ได้รับสิทธิ์ในการบริหารพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2016-2019 แต่เจ้าตัวผู้ชนะก็ยังไม่ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อว่าเป็นผู้ชนะการประมูล และจะบริหารสิทธิ์ที่ได้รับมาอย่างไร จึงทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยต่างตั้งคำถามว่า หนังม้วนนี้ยังต้องดูกันอีกยาว
กระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่เว็บไซต์มีเดียบิซิเนสเอเชีย www.mediabusinessasia.com ออกมาเปิดเผยความเคลื่อนไหวของการประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในส่วนของประเทศไทยว่า “บีอิน สปอร์ต” (beIN Sports) สถานีกีฬาชื่อดังในเครือข่ายของสถานีข่าวอัล จาซีรา ซึ่งเป็นสถานีกีฬามีสัญญาณแพร่ภาพไปในหลายประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น ตะวันออกกลาง, สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, สเปน, แคนาดา, ออสเตรเลีย, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, แอฟริกาตอนเหนือ รวมถึงประเทศไทย เป็นผู้ชนะการประมูล ด้วยการได้ลิขสิทธิ์เป็นเวลา 3 ฤดูกาล นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016-2017 ,2017-2018 และ 2018-2019 ด้วยเม็ดเงินการประมูลเกือบ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10,500 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวถือว่าน้อยกว่าการประมูลครั้งก่อนที่ บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ซีทีเอช เป็นผู้ชนะ โดยในครั้งนั้น ซีทีเอช ได้ทุ่มงบเกือบ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อคว้าลิขสิทธิ์การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จำนวน 3 ฤดูกาล คือ 2013-2014 ,2014-2015 และ 2015-2016
นอกจากนี้ เว็บไซต์มีเดียบิซิเนสเอเชีย ยังเปิดเผยด้วยว่า นอกจากประเทศไทยแล้ว ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกเมืองผู้ดี ยังมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอีก 2 ประเทศ คือ นิวซีแลนด์ ที่บีอินได้เข้ามาแทน เอ็มพี แอนด์ ซิลวา ไลท์บอกซ์ ด้วยมูลค่าประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ 3 ปีก่อน และในออสเตรเลีย ที่ออปตัสทุ่มเงินถึง 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าครั้งก่อนถึง 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการคว้าลิขสิทธิ์แทนฟอกซ์สปอร์ต ส่วนประเทศไทย มีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลด้วยกัน 4 ราย คือ บีอิน, ซีทีเอช, ทรูวิชั่นส์ และฟอกซ์สปอร์ต
แม้ว่าครั้งนี้ ซีทีเอช จะพลาดหวังจากการคว้าชัยชนะในการประมูลฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่ก็ยังมีความสนใจที่จะซับไลเซ่นถือสิทธิ์ดังกล่าวต่อจากบีอิน สปอร์ต หากเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการไทยแต่ละรายเข้าไปร่วมเจรจา เพื่อบริหารสิทธิ์ในประเทศไทย แม้ว่าลึกๆ จะรู้สึกว่ามีความเสียเปรียบฝั่งทรูวิชั่นส์ ซึ่งมีความสัมพัน์ที่ดีกับอัลจาซีร่า เนื่องจากก่อนหน้านี้ บีอิน ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก และลาลีกา สเปน ได้มีการขายลิขสิทธิ์ต่อให้กับทางทรูวิชั่นส์ เพื่อนำคอนเทนต์ดังกล่าวมาออกอากาศในช่องทรูวิชั่นส์
นอกจากนี้ บีอิน ยังมีช่องออกอากาศทางทรูวิชั่นส์จำนวน 1 ช่อง คือ ช่องบีอินสปอร์ต 1 เอชดี ทางทรูวิชั่นส์ 676 ยังไม่หมดแค่นั้นในเว็บไซต์ของบีอิน คือ http://th.beinsports.com ยังมีการขึ้นข้อความยืนยันว่า บีอินเป็นพันธมิตรด้านบอร์ดแคสต์ ในประเทศไทยกับทรูวิชั่นส์ แม้ว่าขณะนี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะยังไม่ออกมายอมรับว่ามีการเจรจาร่วมกัน แต่ก็มีกระแสข่าวออกมาว่าทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการเข้าไปเจรจาร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วในฐานะที่ทรูวิชั่นส์ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
จากกระแสข่าวว่าทรูวิชั่นส์ อาจได้รับสิทธ์การบริหารลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ส่งผลให้หลายคนแอบดีใจ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิกทรูวิชั่นส์ เนื่องจากคอนเทนต์ที่เคยอยู่คู่กับทรูวิชั่นส์มาเป็นระยะเวลายาวนานกำลังจะกลับเข้ามาสู่อ้อมอกของทรูวิชั่นอีกครั้ง เพื่อย้ำผู้นำการดำเนินธุรกิจเพย์ทีวีในประเทศไทย และเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต ก่อนหน้านี้ นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าสายงาน การพาณิชย์ และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ได้ออกมาประกาศแผนของทรูวิชั่นส์ในช่วงครึ่งปีหลังว่า พร้อมใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างหนัก เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่กับทรูวิชั่นส์
ขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการนำเสนอคอนเทนต์คุณภาพใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นกีฬา หรือบันเทิง รวมไปถึงแพ็ตเกจการรับชม ซึ่งเน้นไปที่ความหลากหลาย เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการรับชมมากขึ้น โดยสิ้นปีนี้ ทรูวิชั่นส์ คาดการณ์ว่าจะมีฐานสมาชิกไม่ต่ำกว่า 3 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีฐานสมาชิกอยู่ที่กว่า 2 ล้านราย
ในด้านของฝั่งซีทีเอช แม้ว่าตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมาที่ได้รับสิทธิ์บริหารลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ซีทีเอชก็ยังคงเดินหน้าต่อที่จะประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อีก 3 ฤดูกาล เนื่องจากเป็นคอนเทนต์ที่มีศักยภาพสำหรับการทำธุรกิจเพย์ทีวี และเนื่องจากลิขสิทธ์ในฤดูกาลสุดท้ายที่ยังเหลือเวลาให้บริหารอีกหลายเดือน ซีทีเอช ก็ออกมาประกาศแผนเชิงรุกอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับผู้ประกอบการเคเบิลท้องถิ่นประมาณ 20 ราย ทั่วประเทศ ที่เดิมก่อนหน้านี้ มีปัญหากัน เพื่อทำการตลาดร่วมกัน เนื่องจากแพลตฟอร์มดังกล่าวจะทำให้เข้าถึงฐานผู้ชมเคเบิลทีวีได้อีก 80% ของจำนวนเคเบิลท้องถิ่นทั่ว ประเทศ
นอกจากนี้ ในด้านของช่องทางฟรีทีวี ซีทีเอช ก็ยังได้มีการจับมือกับช่อง พีพีทีวี เอชดี เพื่อนำการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษนัดสำคัญจำนวนอีก 26 แมทช์ไปออกอากาศ เพื่อให้ผู้ชมที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของซีทีเอช ได้รับชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ในฤดูกาล 2015-2016 นอกจากนี้ ซีทีเอช ยังมีการนำเสนอคอนเทนต์กีฬาคุณภาพอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเอาใจคอกีฬา โดยล่าสุดได้มีการนำเสนอช่องยูโรสปอร์ต (EURO SPORT)ช่องกีฬาชั้นนำระดับโลก ที่รวบรวมรายการกีฬาเด็ดและการถ่ายทอดสดกีฬาดังจากทั่วโลก ที่เคยออกอากาศทางแซดเพย์ทีวีกลับมาตอบโจทย์กลุ่มผู้ชื่นชอบกีฬาที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ให้ได้สัมผัสกับทุกบรรยากาศการแข่งขันเหมือนกับเข้าไปนั่งติดขอบสนาม ทาง CTH ช่อง 72 และ Z PAY TV ช่อง 359
ทั้งนี้ ช่องยูโรสปอร์ต ถือเป็นช่องที่ได้รับความนิยมสูง มีการนำคอนเทนต์ดังกล่าวไปออกอากาศใน 59 ประเทศ มีการบรรยายกว่า 20 ภาษา โดยสุดยอดรายการกีฬาระดับโลกที่รับชมได้แก่ รายการเทนนิสระดับโลกอย่าง เทนนิส ยู.เอส. โอเพ่น การแข่งขันจักรยานทางเรียบสามแกรนด์ทัวร์ที่ใหญ่ที่สุด จี โร่ ดีตาเลีย วูเอลตา ตูร์เดอฟรองซ์ การแข่งขันกรีฑา (ไดมอนด์ ลีก) การแข่งขันกีฬาฤดูหนาว (วินเทอร์ โอลิมปิก เกมส์) และรายการมอเตอร์สปอร์ตชื่อดังอย่าง เวิล์ด ทัวร์ริ่ง คาร์ แชมป์เปี้ยนชิพ (World Touring Car Championship : WTCC) การแข่งขันรถยนตร์ทางเรียบระดับโลก ซึ่งลูกค้าของ ซีทีเอช ที่สนใจคอนเทนต์ดังกล่าวสามารถรับชมได้ผ่านแพ็กเกจ Beyond CTHz ในราคา999 บาท และแพ็คเกจ Ultra Platinum ราคา 699 บาท หรือเติม Package Top-up : Sport Topping ในราคา 149 บาท
แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่มีความชัดเจนของผู้ที่ได้ซับไลเซ่นจาก บีอิน สปอร์ต สำหรับการบริหารลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษในประเทศไทยอีก 3 ฤดูกาลนับจากนี้ แต่ดูจากความพร้อมของ 2 ยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นทรูวิชั่นส์ หรือซีทีเอช ที่ต่างพร้อมทั้งในด้านของเม็ดเงิน และศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งต่างปูทางธุรกิจเพื่อรองรับคอนเทนต์นี้ หลังจากนี้คงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าผู้ที่ได้ชัยชนะจะงัดกลยุทธ์อะไรมาสร้างรายได้ และผู้ที่แพ้จะทำอย่างไรต่อไป เพื่อรักษาฐานลูกค้าและรายได้ให้มีอัตราการเติบโต.
ข่าวเด่น