นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับสังคมไทยที่เริ่มเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ ซึ่งต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุจะสูงกว่าวัยอื่นๆ ในช่วงชีวิตของคนเรา ดังนั้นการที่รัฐบาลทำให้ประชาชนระดับฐานรากเข้าถึงการออมและการบริการของภาครัฐ เพื่อเป็นหลักประกันในช่วงวัยเกษียณ โดยการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ จึงเป็นแนวทางที่ยั่งยืนในอนาคต

ซึ่งในเรื่องดังกล่าว พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกว่า การดำเนินงานกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่ได้เริ่มรับสมัครสมาชิกตั้งแต่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเพียง 3 เดือนมีประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกแล้ว 373,613 ราย รวมยอดเงินสะสมจากสมาชิก 400,595,921 บาท

โดยประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มากที่สุด 210,725 ราย ยอดเงิน สะสม 221,432,462 บาท รองลงมาเป็น ธ.ออมสิน 139,479 ราย ยอดเงินสะสม 125,635,627 บาท อันดับ 3 เป็น ธ.กรุงไทย 23,343 ราย ยอดเงินสะสม 53,483,932 บาท และสำนักงานกองทุนการออมแห่งชาติ 66 ราย ยอดเงินสะสม 43,900 บาท

วัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาตินี้ เป็นการแสดงจุดยืนของรัฐบาล ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ มีเป้าหมายดูแลพี่น้องคนไทยที่ไม่ได้อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญที่มีจำนวนกว่า 30 ล้านคน ให้มีวินัยการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ เป็นหลักประกันชีวิตให้สามารถดูแลตัวเองได้ ลดภาระของประเทศที่จะเข้าสู่สังคมสูงวัยในอนาคต

โดยประชาชนที่สมัครเป็นสมาชิก กอช.สามารถออมได้ตามกำลังของแต่ละคน และไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกเดือน ขั้นต่ำครั้งละ 50 บาท รวมแล้วปีละไม่เกิน 13,200 บาท ซึ่งรัฐบาลจะสมทบให้อีกปีละไม่เกิน 600 บาท สำหรับผู้ที่มีอายุ 15-30 ปี ไม่เกิน 960 บาทสำหรับอายุ 30-50 ปี และไม่เกิน 1,200 บาทสำหรับอายุ 50-60 ปี เมื่ออายุครบ 60 ปี รัฐบาลจะจ่ายเงินบำนาญเป็นรายเดือน เดือนละเท่าๆ กันไปจนกระทั่งเสียชีวิต ดังนั้นหากประชาชนยิ่งเริ่มต้นออมเร็วยิ่งได้รับบำนาญมาก

ดังนั้นรัฐบาลจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนอายุระหว่าง 15-60 ปี ที่ไม่ได้อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ มาร่วมสร้างหลักประกันทางการเงินเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยเกษียณ โดยสมัครเป็นสมาชิก กอช.ได้ที่ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และสำนักงานกองทุนการออมแห่งชาติ

สำหรับกองทุนการออมแห่งชาตินี้ ก่อตั้งภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2554 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมของประชาชนไทยทั่วทั้งประเทศ และเป็นการสร้างวินัยการออมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยรัฐบาลผลักดันพระราชบัญญัติการออมแห่งชาติ พร้อมออกกฎกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้วตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2558