ผู้ว่าธปท.ชี้เงินหยวนเข้า SDR ยังไม่กระทบตลาดเงิน-ตลาดทุน เพราะมีผล ต.ค.ปีหน้า แต่เชื่อไทยจะได้ประโยชน์ในระยะยาว แต่ยังไม่ตัดสินใจเพิ่มเงินหยวนลงในทุนสำรองระหว่างประเทศ พร้อมคาดเงินเฟ้อจะกลับเป็นบวกในต้นปีหน้า ชี้ทิศทางดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นการลงทุน
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เรื่องการเพิ่มเงินสกุลหยวนของจีนเข้าเป็น 1 ใน 5 สกุลเงินหลักของโลกที่จะปรับขึ้นมาเป็น SDR ว่า ในเบื้องต้นมองว่ายังไม่มีผลกระทบต่อตลาดการเงินและตลาดทุน เนื่องจากจะมีผลในเดือนตุลาคม 2559 ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีเวลาในการปรับตัวมากขึ้น ในขณะที่ ธปท.ได้รับทราบมานานจึงได้มีการเตรียมความพร้อม โดยมีสำนักงานผู้แทนอยู่ที่กรุงปักกิ่ง และมีการลงทุนในตราสารเงินหยวนด้วย และมีการถือครองเงินหยวนในทุนสำรองระหว่างประเทศบางส่วน
ขณะที่ในระยะข้างหน้า มองว่า ในอนาคตเงินหยวนจะเข้ามามีบทบาทต่อการค้า และการลงทุนโลกมากขึ้น รวมประเทศไทยที่น่าจะได้ผลดีจากการที่มีเงินลงทุนโดยตรง ที่เป็นสกุลหยวนเข้าสู่ไทยมากขึ้น เพราะรัฐบาลจีนน่าจะเปิดโอกาสในการนำเงินทุนออกนอกประเทศได้ง่ายขึ้น ส่วน ธปท.จะเพิ่มสกุลเงินหยวนในทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น คงต้องใช้เวลาในการพิจารณาบทบาทของเงินหยวนอีกระยะหนึ่ง รวมทั้งต้องมองพัฒนาการของตลาดเงิน ตลาดทุนประกอบด้วย ขณะที่ปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ เริ่มการให้บริการในสกุลเงินหยวนบ้างแล้ว
“การเพิ่มเงินหยวนใน SDR เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เพราะเห็นว่าปริมาณการใช้เงินหยวนเพิ่มมากขึ้น เศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่ ขณะที่ ธปท.ยังไม่ระบุว่าจะมีการเพิ่มสัดส่วนเงินหยวนในทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องดูหลายปัจจัยประกอบ เช่น พัฒนาการตลาด ความเสี่ยงของเศรษฐกิจ เป็นต้น”นายวิรไทย กล่าว
นายวิรไท กล่าวถึงในปีหน้าที่รัฐบาลจะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนโยบายการเงินจะต้องมีทิศทางเป็นอย่างไรนั้น ยืนยันว่า นโยบายการเงินคงไม่ได้เป็นตัวรองรับการลงทุนหลัก แต่จะดูเสถียรภาพเศรษฐกิจมากกว่า และในปัจจุบันสภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคารพาณิชย์มีมากพอที่จะรองรับการลงทุนของรัฐบาลอยู่แล้ว ในส่วนของกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีหน้าและจะเป็นต้นทุนทางการเงินหรือไม่นั้น ยืนยันว่า การทำนโยบายการเงินคำนึงถึงเสถียรภาพด้านต่างๆเป็นหลัก
ทั้งนี้ ยืนยันว่า อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มกลับเป็นบวกได้ในช่วงต้นปีหน้า และในปัจจุบันแรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ จากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
ข่าวเด่น