การตลาด
สกู๊ป "สตาร์แอร์"เปิดเกมรุก ชูจุดขายสินค้าไทยคุณภาพสู้แบรนด์นอก


ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์สินค้าไทยที่ทำตลาดเครื่องปรับอากาศมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 30 ปี สำหรับเครื่องปรับอากาศภายใต้แบรนด์ "สตาร์แอร์" ด้วยจุดเด่นในด้านของคุณภาพสินค้าที่มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ประกอบกับให้ความสำคัญในเรื่องของการบริการหลังการขาย จึงทำให้ "สตาร์แอร์"  เป็น 1 ใน 7 เครื่องปรับอากาศแบรนด์ไทยจาก 20  แบรนด์ที่ทำตลาดอยู่จนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสตาร์แอร์ จะประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเป็นที่น่าพอใจ แต่ถ้ามองไปในด้านของการรับรู้ในแบรนด์สินค้าถือว่ายังเป็นที่รู้จักน้อยมาก ด้วยเหตุนี้ บริษัท สตาร์(ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องปรับอากาศสตาร์แอร์ จึงมีแผนที่จะออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยการมอบหมายให้ทายาทรุ่นที่ 2 คือ นายวุฒิไกร เอื้อชูยศ  มาเป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจเครื่องปรับอากาศสตาร์แอร์

 

นายวุฒิไกร เอื้อชูยศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา สตาร์แอร์สามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มลูกค้าองค์กร(Commercial) และกลุ่มลูกค้าครัวเรือน (Residential) ยิ่งไปกว่านั้นสตาร์แอร์ยังถือเป็นบริษัทแอร์สัญชาติไทยที่สามารถให้บริการด้าน ODM และ OEM ได้อย่างครบวงจร  เนื่องจากบริษัทมีทีมพัฒนาสินค้า ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ และโรงงานผลิตแบบครงวงจรเป็นของตนเอง จึงสามารถผลิตสินค้าได้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแบบ Customized products ภายใต้การให้บริการแบบ Total solution

ปัจจุบัน สตาร์แอร์  มีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในท้องตลาดอยู่ 2 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย กลุ่ม Commercial  หรือกลุ่มลูกค้าทั่วไป ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 20% และกลุ่ม Residential หรือกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์  สำนักงานขนาดกลางและเล็กประมาณ 80% โดยในส่วนของช่องทางการขายหลัก สตาร์แอร์ ยังคงเน้นไปที่การจำหน่ายผ่านตัวแทน ซึ่งจะกระจายอยู่ทั่วประเทศประมาณ 250 ราย โดยปีหน้า สตาร์แอร์ มีแผนที่จะขยายกลุ่มตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ส่วนจะเพิ่มขึ้นกี่รายนั้น ขณะนี้สตาร์แอร์ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ เนื่องจากต้องรอดูความต้องการของตลาด

นายวุฒิไกร กล่าวต่อว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสินค้าประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น ภายใต้มาตรฐานคุณภาพที่บริษัทมีอยู่เดิม เพราะกลยุทธ์ดังกล่าวถือเป็นจุดแข็งหลักที่ทำให้สตาร์แอร์ประสบความสำเร็จมากว่า 30 ปี  ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยในส่วนของตลาดในประเทศ ปีหน้าบริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับตลาดในภาคใต้ เนื่องจากเป็นภูมิภาคเดียวที่ยอดขายยังอ่อนแอ เพราะเป็นภูมิภาคมีปัญหาในเรื่องของความไม่สงบ ส่งผลให้ตัวแทนจำหน่ายเก็บค่างวดจากการซื้อสินค้าได้ยาก ซึ่งนับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างความแข็งแกร่งในด้านของยอดขายในส่วนของภาคใต้ได้สำเร็จ

 

นอกจากนี้ บริษัท สตาร์ (ประเทศไทย) ยังจะเดินหน้าให้ความสำคัญในเรื่องของการบริการตั้งแต่ก่อนเริ่มเป็นลูกค้าจนถึงหลังจากที่ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยเหตุนี้ บริษัท สตาร์(ประเทศไทย) จึงมีแผนที่จะให้บริการลูกค้าตั้งแต่ก่อนที่จะทำการขาย ด้วยการมีทีมวิศวกรและทีมบริการเข้าไปให้คำแนะนำในการเลือกใช้แอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่จะติดตั้ง ซึ่งในส่วนของทีมวิศวกรและทีมบริการที่นำไปประจำจุดขาย บริษัท สตาร์ (ประเทศไทย) ได้มีการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ในแบบ Technician support เพื่อพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าทั่วประเทศ

สำหรับการทำตลาดในต่างประเทศ ปัจจุบัน บริษัท สตาร์(ประเทศไทย) ได้มีการส่งเครื่องปรับอากาศสตาร์แอร์เข้าไปทำตลาดแล้วในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง  ยุโรป อเมริกาใต้ หรือออสเตรเลีย ซึ่งกลุ่มประเทศที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดกับการนำเครื่องปรับอากาศสตาร์แอร์ คือ ตะวันออกกลาง  เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีสภาพภูมิอากาศค่อนข้างร้อน

จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว นับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป บริษัท สตาร์(ประเทศไทย) มีแผนที่จะนำเครื่องปรับอากาศสตาร์แอร์เข้าไปทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน หลังจากก่อนหน้านี้ได้เคยทดลองนำสินค้าเข้าไปทำตลาดบ้างแล้วในประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา โดยผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) บริษัท สตาร์ (ประเทศไทย) มีแผนที่จะเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศดังกล่าวอย่างจริงจังมากขึ้น เนื่องจากยังมีช่องว่างให้เข้าไปขยายธุรกิจเครื่องปรับอากาศได้อีกมาก                                                                                                 

ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต  บริษัท สตาร์(ประเทศไทย) จึงมีแผนที่จะใช้งบไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ในการจัดซื้อเครื่องจักร เพื่อขยายไลน์การผลิต พร้อมกับขยายพื้นที่โรงงานออกไปอีก1 เท่าตัว โดยในส่วนของโรงงานแห่งใหม่จะตั้งอยู่บนพื้นที่ 16 ไร่ ใกล้กับโรงงานแห่งเดิมในย่าน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งจะแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 โรง รวมเนื้อที่ 20,000 ตร.ม. โดยความคืบหน้าของโรงงานแห่งดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2559  หลังจากนั้นจะทำการติดตั้งเครื่องจักรชุดใหม่ คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตสินค้าได้ประมาณปลายปี 2559

หลังจากออกมาเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัท สตาร์(ประเทศไทย) คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีรายได้เติบโตที่ 5%  และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 5% จากตลาดรวม 25,000-30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้มาจากการทำตลาดในประเทศอยู่ที่ประมาณ 65-70% ที่เหลืออีก 30-35% เป็นรายได้จากการส่งออก หลังจากนั้นอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 10% ซึ่งแบรนด์สตาร์แอร์ถือเป็นสินค้าเครื่องปรับอากาศแบรนด์ไทยที่มีความแข็งแกร่ง 1 ใน 7 แบรนด์สินค้าไทยที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบันนี้     

 

นายวุฒิไกร กล่าวปิดท้ายว่า  ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเครื่องปรับอากาศมีการเติบโตต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการแข่งขันในต่างประเทศนั้น คุณภาพของแอร์สัญชาติไทยก็ยังมีภาษีที่เหนือกว่าในด้านคุณภาพ จนเป็นที่ยอมรับและยกระดับให้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับบน

นอกจากนี้ การขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาโครงการเมกกะโปรเจคของภาครัฐในอนาคตอันใกล้ และการเปิดเออีซี  เพื่อสร้างโอกาสในการขายในประเทศเพื่อนบ้าน ก็ถือเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตเช่นกัน และหากพิจารณาในด้านนวัตกรรมการผลิตแล้ว จะพบว่า เทรนด์ของ Invertor จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยจะขยายความนิยมจากกลุ่ม Residential ไปยังกลุ่ม Commercial ด้วยเช่นกัน โดยในปี 2558 นั้น กลุ่มเครื่องปรับอากาศ Invertor มีอัตราเติบโตการขยายตัวสูงถึง 25% หรือมีมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

เหตุผลที่ทำให้ บริษัท สตาร์(ประเทศไทย) มั่นใจว่าจะสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตเป้นไปตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 5% ทุกปีต่อเนื่องนับจากนี้ นอกจากสภาพอากาศร้อนที่เป็นใจแล้ว คุณภาพและราคาสินค้าที่คุ้มค่าคุ้มราคาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง โดยหากนำราคาขายของเครื่องปรับอากาศสตาร์แอร์มาเทียบกับแบรนด์ญี่ปุ่นจะถูกกว่า 10% แต่ถ้านำมาเปรียบเทียบกับแบรนด์เกาหลี สตาร์แอร์ จะมีราคาแพงกว่าถึง 5% เลยทีเดียว ซึ่งจากความได้เปรียบดังกล่าว จึงทำให้สตาร์แอร์มั่นใจว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศแบรนด์ไทยที่ได้รับความนิยมในวงกว้างอย่างแน่นอน


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 14 ธ.ค. 2558 เวลา : 07:23:09
29-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 29, 2024, 6:18 am