การพัฒนาและปฎิรูประบบชำระเงินของไทยเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับนโยบายดังกล่าว โดยจะเห็นได้จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.58
ซึ่ง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างระบบการชำระเงิน แบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศไทยให้เข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (อีเพย์เมนต์) ครบวงจร ซึ่งจะนำมาสู่การเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งบูรณาการระบบสวัสดิการสังคม การส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน และ การส่งเสริมอีเพย์เมนต์ในทุกภาคส่วน
และแผนยุทธศาสตร์นี้ยังจะช่วยสนับสนุนนโยบายอื่นๆ ของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลอีโคโนมี โครงการระบบตั๋วร่วมของกระทรวงคมนาคม นโยบายกองทุนการออมแห่งชาติ นโยบายการส่งเงินช่วยเหลือแก่ประชาชนในกรณีต่างๆ ของภาครัฐ
โดยแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างระบบการชำระเงิน ประกอบด้วยแผนงานสำคัญ 5 โครงการ ได้แก่
1.โครงการระบบการชำระเงินแบบ Any ID (นานานาม) ทำให้การโอนเงินและการรับชำระเงินสามารถทำได้โดยง่าย โดยใช้เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือหมายเลขกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ นอกเหนือจากการใช้เลขที่บัญชีธนาคารอย่างในปัจจุบัน
2.โครงการการขยายการใช้บัตรมากขึ้น โดยสร้างจุดรับเงินให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในร้านค้าหรือบริษัทที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์
3.โครงการระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
4.โครงการ e-Payment ภาครัฐ โดยโครงการนี้จะรวมถึงการบันทึกผู้มีรายได้น้อยอย่างสมัครใจ ซึ่งใครที่มีรายได้น้อยสามารถลงทะเบียนเพื่อให้ได้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีสิทธิประโยชน์ โดยจะให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยลงทะเบียนบัตร โดยอาศัยข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย
โดยแผนยุทธศาสตร์นี้คาดว่าจะช่วยให้ประหยัดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจในภาพรวมได้ ประมาณ 75,000 ล้านบาทต่อปี จากประชาชนที่จะลดต้นทุนจากการพกพาเงินสดและหันมาใช้การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แทน ที่จะสามารถประหยัดต้นทุนประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงร้านค้าที่สามารถประหยัดต้นทุนประมาณ 45,000 ล้านบาทต่อปี จากการลดต้นทุนการบริหารจัดเก็บเงินสดและเช็ค และการพิมพ์และจัดส่งเอกสารใบกำกับภาษี
นอกจากนี้ ในอนาคตรัฐบาลจะบูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุนของระบบ ผ่านการพัฒนาระบบนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม และระบบนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลภาษีที่ครบถ้วนมากขึ้น สามารถนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อกำหนดนโยบายการบริหารจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดการรายได้ที่ดีเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
ด้าน นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างปรับปรุงแผนพัฒนาระบบระยะที่ 3 ที่จะนำมาบังคับใช้ในช่วงปี 2558-2562 เพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินไทยให้แข่งขันได้ สามารถสนองความต้องการที่หลากหลายขึ้น ด้วยราคาที่เป็นธรรมและไม่บิดเบือน และสนับสนุนการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนในภูมิภาค แต่ยังมีเสถียรภาพดีตามเป้าหมายที่ต้องการเกิดการแข่งขัน ประชาชนเข้าถึงบริการ มีการเชื่อมโยง แต่ยั่งยืน
และที่สำคัญแนวทางการพัฒนาและกำกับดูแลสถาบันการเงินต้องให้เท่าทันเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป และมีช่องทางการบริการที่หลากหลายมากขึ้นในยุคนี้ รวมถึงแนวโน้มหรือพฤติกรรมความนิยมของผู้บริโภคที่จะมีในอนาคตด้วย ซึ่งแนวโน้มการให้บริการทางการเงินของไทยในระยะต่อไปน่าจะมีการพัฒนาการบริการทางดิจิทัลและอีเพย์เมนต์ที่สนับสนุนอี-บิซิเนส รวมทั้ง อี-โกเวอเมนต์ ที่ต่อไป อาจจะเห็นการเชื่อมโยงการเปิดบัญชีธนาคารกับบัตรประชาชน หรือใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือ 1 เบอร์ต่อ 1 บัญชีธนาคาร เป็นต้น
ข่าวเด่น