ครบรอบ 1ปี ในการบริหารประเทศของรัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ซึ่งก็เป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องชี้แจงแถลงผลการทำงานในช่วงที่ผ่านมาให้ประชาชนได้เข้าใจ
ซึ่งในด้านเศรษฐกิจ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปีของกลุ่มเศรษฐกิจ โดยยอมรับว่า ระบบการเมืองของไทยนั้นบางครั้งมีข้อจำกัด การแข่งขันกันมากเกินไปในทางการเมือง ทำให้นโยบายต่างๆ เล็งผลแค่ระยะสั้น ต้องการแค่ให้ประชาชนเลือกตั้งให้พรรคของตัวเอง แต่ผลกับประเทศในระยะยาวไม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาการไม่สานต่อในเชิงนโยบายตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาใหม่ ไม่เอานโยบายของเก่าก็เปลี่ยนใหม่ กลายเป็นนโยบายที่เอาแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่มีการเน้นผลในระยาว ทำให้ปัญหาต่างๆ ของประเทศไม่ได้รับการแก้ไข เกิดปัญหาในเชิงโครงสร้าง และประเทศก็ค่อยๆ ถดถอย
ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานได้ประกาศไปอย่างชัดเจนแล้วว่าจะทำอะไรบ้าง และจากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่เคยออกนอกเส้นทางที่ประกาศไว้แต่อย่างใด ขณะเดียวกันได้แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นที่จะทำอย่างจริงจังในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทำงานกันโดยไม่ได้หยุดพัก เพื่อให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนมากขึ้น
โดยจะเห็นได้จากดัชนีชี้วัดต่างๆ ที่ดีขึ้น ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจัดทำขึ้นก็ดีขึ้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ถึงเติบโตได้ 2.9% และคาดว่าภาวะทรุดตัวอย่างรุนแรงจะไม่เกิดขึ้น
และสำหรับมุมมองของภาคเอกชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า พอใจผลงานรัฐบาล 1 ปี ที่ช่วยเหลือภาคเอกชนในหลายด้าน และเห็นความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาของประเทศทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดีนัก ซึ่งความพยายามของรัฐบาลทำให้ความเชื่อมั่นของเอกชนฟื้นกลับมา
ผลงานที่เอกชนพอใจและเห็นชัด คือ มาตรการช่วยเหลือธุรกอิจเอสเอ็มอี ที่สภาอุตสาหกรรมฯ ผลักดันมาหลายรัฐบาล นอกจากนี้ ยังช่วยเหลือภาคการเกษตร เร่งลงทุนเมกะโปรเจค และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ขณะที่ด้านต่างประเทศ รัฐบาลชุดนี้ยังสร้างความสัมพันธ์ได้ดี โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน หากให้คะแนนจะอยู่ที่ระดับ 8 เต็ม 10 คะแนน
ด้าน นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ประเมินภาพรวมท่องเที่ยวในปี 2558 ว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยังคงเป็นอุตสาหกรรมหลักทำรายได้เข้าประเทศ และยังมีแนวโน้มที่ดี ท่ามกลางภาวะแวดล้อมของธุรกิจที่มีปัจจัยลบทั้งเศรษฐกิจโลกและภัยก่อการร้าย หากพิจารณาผลงานของรัฐบาลในปีนี้ จึงถือว่าสอบผ่านด้วยคะแนน 7 เต็ม 10 โดยประเด็นที่รัฐบาลทำได้ดีที่สุด คือ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศซึ่งเป็นส่วนสำคัญสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดต่างประเทศ
นอกจากนั้น ต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวที่รวดเร็วของการท่องเที่ยวไทยในภาวะวิกฤติ ยังมีองค์ประกอบจากการทำงานของภาคเอกชนเองที่มีประสบการณ์ทำงานในช่วงวิกฤตมาหลายปี ทำให้มีภูมิคุ้มกันและสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว ประกอบกับไทยมีต้นทุนเรื่องการท่องเที่ยวที่ดีเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมในระดับสูง กลายเป็นจุดแข็งทำให้ภาพรวมรายได้ท่องเที่ยวจากต่างชาติมีโอกาสทำได้ 1.42 ล้านล้านบาท สูงกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้เบื้องต้นที่ 1.4 ล้านล้านบาท
ข่าวเด่น