เหลืออีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2559 ธุรกิจค้าปลีกหลายค่ายก็เริ่มออกมาประกาศตัวจัดงานเคาน์ดาวน์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และกระตุ้นยอดขายส่งท้ายปี เนื่องจากช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จะมีเงินสะพัดอยู่ภายในธุรกิจค้าปลีกไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท จึงทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกต่างตกแต่งสถานที่ให้มีความสวยงาม เพื่อสร้างแรงจูงใจในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ บรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกยังออกมาประกาศใช้งบเพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งรูปแบบของการทำกิจกรรมก็จะมีทั้งการลด แลก แจก แถม สร้างความคึกคักให้กับธุรกิจค้าปลีกได้พอสมควร และยิ่งล่าสุดมีมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในระหว่างวันที่ 25 -31 ธ.ค.58 จากผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท
หลังจากภาครัฐประกาศมาตรการดังกล่าวออกมาก็ได้ผลการตอบรับจากผู้ประกอบการค้าปลีกเป็นอย่างดี เพราะจะช่วยให้ผู้บริโภคกล้าที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่เนื่องจากระยะเวลามาตรการกระตุ้นขาช้อปสั้นเกินไป จึงทำให้ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งมองว่ามาตรการดังกล่าว อาจช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้ไม่ดีนัก ถ้าขยายเวลาเพิ่มขึ้นจะดีกว่านี้
อย่างไรก็ดี แม้ว่ามาตรการกระตุ้นขาช้อปเป็นแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งก็ออกมาประกาศแผนกิจกรรมส่งเสริมการขายกระตุ้นมาตรการดังกล่าวทันที เพราะช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงที่ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยเยอะอยู่แล้ว
น.ส.วารุณี กิจเจริญพูลสิน ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การออกมาตรการภาษีดังกล่าวของภาครัฐ มองงว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายในช่วงปลายปีนี้ให้มีสีสันขึ้นอย่างมากขึ้น เพราะเดิมทีผู้บริโภคยังคงระมัดระวังเรื่องการจับจ่าย เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศยังไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี บิ๊กซีฯได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อตอบรับมาตรการดังกล่าว นอกเหนือจากโปรโมชั่นที่ทำอยู่แล้ว เช่น แคมเปญ มอบสุข รับสุข ปีใหม่ 2559 ที่นำเสนอกระเช้าปีใหม่รับเทศการแห่งการเฉลิมฉลองรวมมากกว่า 44 รายการ ในราคาพิเศษตั้งแต่ 299 บาท - 5,399 บาท ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น บริการส่งฟรีเมื่อซื้อ 5 กระเช้าขึ้นไป หรือโปรแกรมผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ โดยจะทำการสื่อสารไปยังลูกค้าผ่านทุกช่องทางให้เข้าทุกกลุ่มลูกค้าบิ๊กซีทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งหลังจากจบแคมเปญดังกล่าว คาดว่าจะสามารถกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นจากปกติไม่ต่ำกว่า 15-20%
น.ส.วารุณี กล่าวต่อว่า แม้ว่าลูกค้าระดับกลางถึงล่างจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น ภาระหนี้ในครัวเรือน ค่าครองชีพสูง และราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ส่งผลให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยลดลง แต่ขณะเดียวกันความถี่ในการจับจ่ายก็สูงขึ้น เนื่องจากบริษัทมีการปรับตัวรูปแบบโปรโมชั่นให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น การทำโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1, ซื้อ 2 แถม 1 และทำโปรโมชั่นรับเทศกาลสำคัญ เป็นต้น
ในส่วนของห้างสรรพสินค้าโรบินสันเองก็ออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อตอบสนองมาตรการดังกล่าวของรัฐบาลเช่นกัน เช่น การจัดแคมเปญ All About Gifts 2016” ในระหว่างวันที่ 8 ธ.ค. 2558 ถึงวันที่ 3 ม.ค 2559 การจัดแคมเปญเทใจคืนสุข ... สู่ประชาชน” และแคมเปญช้อปก่อนสิ้นปี ได้สิทธิลดหย่อนภาษี สูงสุด 15,000 บาท
นายอนวัช สังขะทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายการตลาด บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทยินดีให้การสนับสนุนมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในการซื้อสินค้าก่อนสิ้นปีของภาครัฐ เพราะถือเป็นผลดีในด้านของการกระตุ้นการจับจ่าย ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจและจิตวิทยาที่ดีขึ้นของผู้บริโภค ซึ่งในส่วนของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน คาดว่าจะมียอดขายจากการสนับสนุนมาตรการดังกล่าวให้มียอดขายเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% ในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ดี หากภาครัฐมีนโยบายจะออกมาตรการดังกล่าวอีกในปี 2559 ภาครัฐควรขยายเวลาของมาตราการเพิ่มขึ้น ด้วยการเพิ่มจำนวนวันให้มากขึ้น และมีการโปรโมทล่วงหน้าให้มากกว่านี้ เพราะสัปดาห์สุดท้ายของปี คือ จุดพีคที่สุดของการจับจ่าย และเป็นช่วงที่ทุกห้างร้านมียอดขายสูงสุดของปี
ปัจจุบันห้างสรรพสินค้าโรบินสันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการอยู่ที่ 42 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งในสิ้นปีนี้ได้วางเป้ายอดขายในช่วงเดือน ธ.ค.ไว้ที่ประมาณ 3,050 ล้านบาท ส่วนยอดขายในช่วง 7 วันสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่ต่ำกว่า 20% และมียอดขายเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้
นายชำนาญ เมธปรีชากุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป กล่าวว่า กำลังซื้อในช่วงสุดท้ายของปี 2558 ยังคงมีต่อเนื่อง และถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยในภาพรวมใกล้เคียงกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยการมีอัตราเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3% และอาจเพิ่มได้อีกจากหลายๆ ปัจจัยที่มาช่วยเสริม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงนโนบายในการกระตุ้นของภาครัฐที่มุ่งเพิ่มกำลังซื้อให้ตลาด ทั้งในเรื่องของโครงการเทใจ คืนสุข เทศกาลปีใหม่ และมาตรการยกเว้นภาษีรายได้ในการซื้อสินค้าและบริการ
สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้จัดโปรโมชั่นและกิจกรรมการขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ประกอบด้วย แคมเปญใหญ่ฉลอง 10 ปี สยามพารากอน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่จัดแคมเปญในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายซื้อสินค้า พร้อมกันนี้ ยังมีการจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม โดยสิ้นปี 2558 เดอะมอลล์ คาดว่าจะสามารถปิดยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ 53,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่ประมาณ 4 %
ด้าน นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ( RSTA ) กล่าวว่า กรณีที่ภาครัฐมีแผนออกมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในระหว่างวันที่ 25 -31 ธ.ค.58 จากผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท เพื่อกระตุ้นให้คนไทยออกมาช้อปปิ้งเพิ่มขึ้นนั้น มองว่าไม่น่าจะช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจค้าปลีกได้เท่าไหร่ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีระยะเวลาสั้นเกินไป
อย่างไรก็ดี แนวทางกระตุ้นกำลังซื้อด้วยมาตรการช้อปปิ้งดังกล่าวถือว่ามาถูกทางแล้ว เพียงแต่ระยะเวลาดำเนินการสั้นเกินไป หากภาครัฐต้องการให้เห็นผลชัดเจน ควรขยายระยะอย่างน้อยเป็น 2-3 เดือน เพราะระยะสั้นเห็นผลแค่การพยุงไม่ให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้เท่านั้น ซึ่งหากภาครัฐต้องการกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในทิศทางที่ชัดเจนมากกว่านี้ ควรเร่งเดินหน้าโครงการเมกกะโปรเจ็คต่างๆ เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเข้าสู่ระบบ เนื่องจากปัจจุบันรากหญ้าของไทยยังคงมีปัญหาในด้านของกำลังซื้อชะลอตัว
แม้ว่าจะเป็นมาตรการระยะสั้น แต่ดูจากบรรดาผู้ประกอบการห้างค้าปลีกที่ออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อตอบสนองนโยบายของภาครัฐ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกสิ้นปีนี้ มีความคึกคักมากขึ้นแน่นอน
ข่าวเด่น