จากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับตลาดเมลามีนในประเทศไทยที่เริ่มอิ่มตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการในตลาดเมลามีนเริ่มปรับแผนรุก ด้วยการหันมาทำตลาดต่างประเทศมากขึ้น หนึ่งในผู้ประกอบการดังกล่าว คือ บริษัท ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ จำกัด(มหาชน)
ปัจจุบัน บริษัท ศรีไทยฯ ได้มีการส่งออกสินค้าไปทำตลาดในต่างประเทศรวมกว่า 110 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในส่วนของตลาดหลักจะอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ส่วนภูมิภาคที่บริษัท ศรีไทยฯ จะให้ความสำคัญนับจากนี้ คือ ซีแอลเอ็มวี หรือกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับไทย การคมนาคมขนส่งมีความสะดวกสบาย
ส่วนประเทศที่บริษัท ศรีไทยฯ จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ เวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีประชากรมากถึง 94 ล้านคน ค่าเงินมีเสถียรภาพ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศเวียดนามก็มีการขยายตัวในทิศทางที่ดี จึงทำให้บริษัท ศรีไทยฯ เล็งเห็นโอกาสในการเข้าไปขยายธุรกิจ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าไปลงทุนขยายโรงงานในประเทศเวียดนามแล้วจำนวน 3 แห่ง ในเมืองโฮจิมินห์ และฮานอย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัท ศรีไทย ซูปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เครื่องจักรผลิตสินค้าที่อยู่ 40 เครื่องในประเทศเวียดนามตอนนี้ มีกำลังการผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศเวีดนาม ส่งผลให้บริษัทต้องส่งออเดอร์กลับมาผลิตที่ประเทศไทย หลังจากผลิตสินค้าเสร็จก็จะส่งกลับไปขายในประเทศเวียดนามโดยรถบรรทุก ซึ่งในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะใช้เส้นทางการขนส่งสินค้าจากไทยไปเวียดนาม และส่งต่อไปยังประเทศกัมพูชา เนื่องจากขั้นตอนการผ่านด่านตรวจมีความคล่องตัวกว่าส่งผ่านด่านชายแดนไทยไปประเทศกัมพูชา
นอกจากจะเน้นทำตลาดในกลุ่มของสินค้าเมลามีน บริษัท ศรีไทยฯ ยังจะให้ความสำคัญในกลุ่มสินค้าแพ็คเกจจิ้ง ขวด กระบะพลาสติก รวมไปถึงกล่องอาหารพร้อมรับประทาน เนื่องจากตลาดเวียดนามยังมีโอกาสให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก ซึ่งจากความต้องการที่มีอยู่มาก ส่งผลให้บริษัท ศรีไทยฯ มีแผนที่จะเร่งการเจริญเติบโตของธุรกิจในประเทศเวียดนาม ด้วยการวางแผนเข้าไปซื้อกิจการประเภทโรงงานพลาสติก และโรงงานผลิตแพ็คเกจจิ้งในประเทศเวียดนาม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการ 2 ราย คาดว่าภายในปี 2559 น่าจะได้ข้อสรุป 1 รายเป็นอย่างต่ำ
จากแนวทางการเข้าไปขยายธุรกิจในประเทศเวียดนามดังกล่าว หากสามารถซื้อกิจการโรงงานได้จำนวน 1 แห่ง จะทำให้บริษัท ศรีไทยฯ มีรายได้จากประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีรายได้จากการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศเวียดนามอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,600 ล้านบาทในปี 2558 ส่วนปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท และอีก 5 ปีข้างหน้าหรือประมาณปี 2563 จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท
ด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งของประเทศเวียดนาม ส่งผลให้บริษัท ศรีไทยฯ วางเป้าหมายที่จะให้เวียดนามเป็นฐานผลิตสินค้าที่สำคัญแทนที่ประเทศไทย เช่นเดียวภาพรวมรายได้ที่คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า รายได้ที่มาจากประเทศเวียดนามจะขึ้นมาแทนที่รายได้ในประเทศไทย
นอกจากจะให้ความสำคัญกับตลาดประเทศเวียดนามแล้ว ในส่วนของตลาดประเทศกัมพูชา ลาว และพม่า บริษัท ศรีไทยฯ ก็จะหันมาให้ความสำคัญเช่นกัน เช่นเดียวกับประเทศอินเดีย เนื่องจากมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในเรื่องของโรงงานแล้ว บริษัท ศรีไทยฯ ยังมีแผนที่จะเข้าไปซื้อกิจการโรงงานผลิตสินค้าในประเทศอินเดียอีกด้วย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในต่างประเทศ
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2559 ที่จะถึงนี้ บริษัท ศรีไทยฯ มีแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ 900 ล้านบาท ขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในส่วนของงบประมาณดังกล่าวได้มีการปรับลดลงจากแผนเดิมที่วางไว้ว่าจะลงทุนที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังน่าเป็นห่วงและต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
นายสนั่น กล่าวต่อว่า แม้ว่าจะลดงบลงทุนลง แต่บริษัทก็ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศในอีก 5 ปีนับจากนี้ เพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30% ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2558 ที่คาดว่าจะปิดรายได้ที่ 10,000 ล้านบาท
ปัจจัยที่ทำให้บริษัท ศรีไทยฯ จะเดินไปถึงเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท คือ การเปิดตัวกลุ่มสินค้าเมลามีนแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ "เดอะพอตเตอร์ส" เข้ามาทำตลาด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย หลังจากได้นำสินค้าแบรนด์ดังกล่าวเข้าไปทดลองทำตลาดในฮ่องกงเมื่อปี 2555 ด้วยการนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายที่ร้าน Life Kan จำนวน 5 สาขา ประกอบด้วย ศูนย์การค้าไทม์ สแควร์ ย่านคอสเวย์ เบย์, ศูนย์การค้า K11 ย่านจิมซาจุ่ย, ศูนย์การค้าโฮม สแควร์ ย่านชาถิ่น, ศูนยการค้าโดเมน ย่านเกาลูน และศูนย์การค้าโยโฮมอลล์ II ย่านหยุ่นหลง ได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี
สำหรับการทำตลาดในประเทศไทย บริษัท ศรีไทยฯ ได้มีการจับมือกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ด้วยการนำสินค้าภายใต้แบรนด์ เดอะ พอตเตอร์ส เข้าไปจำหน่ายในรูปแบบกิฟท์เซตประมาณ 150 รายการ เข้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจำนวน 6 สาขา ได้แก่ ชิดลม ลาดพร้าว ปิ่นเกล้า บางนา เซ็น และอีสต์วิลล์ และในปีหน้าได้เตรียมวางจำหน่ายแบบเต็มคอลเลคชั่น รวมไปถึงการพัฒนาสินค้าเดอะ พอตเตอร์ส คอลเลคชั่นใหม่เข้าทำตลาด ซึ่งบริษัท ศรีไทยฯ มีแผนที่จะเปิดตัว 3 คอลเลคชั่นต่อปี แบ่งออกเป็นสปริง-ซัมเมอร์ (Spring-Summer), ออทั่ม-วินเทอร์ (Autumm-Winter) และเฟสทีฟ (Festive)
ส่วนช่วงเทศกาลของขวัญในปี 2559 บริษัท ศรีไทยฯ มีแผนจะพัฒนาสินค้าเพิ่มเติมให้ครบ 300 รายการ และวางเป้ายอดขายปี 2559 ไว้ที่ 60 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นยอดขายภายในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% ส่วนปี 2560 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 120 ล้านบาท
นายสนั่น กล่าวปิดท้ายว่า นอกจากจะมีการพัฒนาสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดแล้ว บริษัทยังมีแผนจะลงทุนในส่วนเครื่องจักรและแม่พิมพ์ใหม่ประมาณ 35 ล้านบาท พร้อมกับวางแผนจัดงานเปิดตัวที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในช่วงต้นปี 2559 เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าเดอะ พอตเตอร์ส ให้เป็นที่รู้จัก เน้นการใช้สื่อออนไลน์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นหลัก ซึ่งนอกจากจะสร้างแบรนด์ตลาดในประเทศแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะสร้างแบรนด์เดอะ พอตเตอร์ส ในตลาดต่างประเทศที่เป็นคู่ค้าอยู่ในปัจจุบัน
การออกมาปรับแผนการทำตลาดของบริษัท ศรีไทยฯ ในครั้งนี้ เป้าหมายที่วางไว้ 20,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปี อาจน้อยไป เพราะดูจากแผนการบุกตลาดต่างประเทศทั่วโลก และเปิดตัวสินค้าแบรนด์น้องใหม่เข้ามาทำตลาดก็ดูเหมือนจะไปได้ดี เนื่องจากรูปแบบของสินค้ามีความทันสมัยเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่บริษัท ศรีไทยฯ ต้องการจะเข้าไปทำตลาด ส่วนอีก 5 ปีจะทะลุเป้าไปมากหรือน้อยนั้น คงต้องรอลุ้นปัจจัยลบทั้งในประเทศและนอกประเทศที่ยังไม่สงบในตอนนี้ด้วย
ข่าวเด่น