การตลาด
สกู๊ป "ค้าปลีก" เร่งกระทุ้งรัฐ ออกมาตรการหนุนกู้"กำลังซื้อ"


สร้างความคึกคักให้กับธุรกิจค้าปลีกได้เป็นอย่างดีสำหรับมาตรการช้อปช่วยชาติที่จัดขึ้นไปเมื่อวันที่ 25-31 ธ.ค.ที่ผ่านมา เห็นได้จากบรรดาห้างร้านต่างๆที่เต็มไปด้วยขาช้อป ส่งผลให้ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกต้องเพิ่มจุดออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้าที่เข้ามาช้อปปิ้ง

 

จากความคึกคักที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ช่วง 7 วันสุดท้ายของปี 2558 ธุรกิจค้าปลีกได้รับอานิสงส์จามาตรการดังกล่าว คิดเป็นเม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาประมาณ 20% จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าวทางผู้ประกอบการค้าปลีก จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนมาตรการในรูปแบบดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง  

ขณะเดียวกัน ก็อยากให้ภาครัฐเร่งทบทวนการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะปัจจุบันขาช้อปชาวไทยังคงเดินทางไปช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะกำแพงภาษีสินค้ากลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในประเทศยังสูง ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยยังคงเสียเปรียบคู่แข่งในประเทศเพื่อนบ้านที่มีกำแพงภาษีต่ำกว่า ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ หรือมาเลเซีย

 

น.ส.จริยา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนผ่านมาตรการช้อปปิ้งช่วยชาติ ทำให้ผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ซื้อสินค้าหรือบริการระหว่างวันที่ 25-31 ธ.ค. 2558 ที่ผ่านมา จากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถนำเงินค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่ได้จ่ายไป มาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีนั้น นับเป็นสัญญาณที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้มีมาตรการลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับผู้ใช้จ่ายเป็นค่าบริการแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวหรือค่าโรงแรมภายในประเทศมาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. – 31 ธ.ค.2558 ดังนั้นเมื่อรวมกับมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ที่ ให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายจาการซื้อสินค้าหรือบริการ เท่ากับว่าประชาชนสามารถหักลดหย่อนภาษีได้รวมถึง 30,000 บาท เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีการจับจ่าย โดยเฉพาะในผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป

จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ส่งผลให้สมาคมผู้ค้าปลีกไทยออกมาแสดงความคิดเห็นกับมาตรการลดหย่อนภาษี รวมทั้งผลกระทบต่อภาพรวมค้าปลีกไทยในปี 2559 ทั้งหมด 4  ข้อ  ประกอบด้วย 1. มาตรการ “ช้อปเพื่อชาติ” ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท แก่ผู้บริโภค โดยสามารถนำค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่ใช้ระหว่างวันที่ 25-31 ธ.ค. 2558 และเมื่อรวมกับมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ที่ให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรมภายในประเทศที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เกิน 15,000 บาท เท่ากับว่าประชาชนสามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้รวมถึง 30,000 บาทเป็นมาตรการที่มา “ถูกที่ ถูกทาง ถูกเวลา”

อย่างไรก็ดี แม้ว่าผู้ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้จะมีราว 3.2 ล้านคน จากฐานผู้เสียภาษี 9.6 ล้านคน (ข้อมูลปี 2556) แต่ก็เป็น 3.2 ล้านคนที่ยังมีกำลังซื้อที่แข็งแรง มาตรการกระตุ้นการบริโภคผ่านภาคการค้า (ค้าปลีก ค้าส่ง และ ภัตตาคาร ร้านอาหาร ที่อยู่ในระบบภาษี) เป็นช่องทางที่ส่งผลให้เม็ดเงินหมุนเวียนในวงจรเศรษฐกิจถึงกว่า 2-3 เท่า เนื่องจากภาคการค้า มีการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อม ถึงกว่า 3.5 ล้านคน และมีผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานSupply chain ถึงกว่า 1.5 ล้านครัวเรือน

ข้อที่ 2. ถูกที่ มาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ มุ่งไปยังผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งกำลังซื้อยังค่อนข้างแข็งแรง เป็นมาตรการที่ชาญฉลาด และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เม็ดเงินในการจับจ่ายสู่วงจรเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ไปสู่ท้องถิ่นต่างจังหวัด ซึ่งกำลังซื้ออ่อนแอให้เข้มแข็งขึ้น มาตรการ “ช้อปพื่อชาติ” ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศ และส่งให้อารมณ์ (mood) ของการจับจ่ายสูงขึ้น เชื่อว่าน่าจะมีการจับจ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่มขึ้น 20% หรือประมาณการ 25,000 ล้านบาท ส่งผลให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยรวมสูงถึง 125,000 ล้านบาท ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี

 

ทั้งนี้ ผลจากกระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 2 มาตรการ ส่งผลให้อุตสาหกรรมค้าปลีก เติบโตเพิ่มขึ้น 3% และทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมเติบโตทั้งปี 3.05% ซึ่งสูงกว่าที่คาดหมายไว้ประมาณ 2.8% และจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวส่งผลให้ยอดขายหมวดสินค้าคงทน ซึ่งหมายถึงยอดขายสินค้าหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้างอุปกรณ์กีฬา ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้มากกว่าหมวดอื่นๆ เพราะ เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง และผู้บริโภคก็รอที่จะซื้อเพื่อเป็นของขวัญให้ตัวเองและครอบครัว

ส่วนยอดขายหมวดสินค้ากึ่งคงทน ซึ่งหมายถึงยอดขายสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องสำอาง สินค้าลักชัวรี่แบรนด์ ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการรองลงมา และยอดขายหมวดสินค้าไม่คงทน ซึ่งหมายถึงยอดขายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เป็นสินค้าที่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้

ข้อที่  3. ถูกทาง มาตรการ “ช้อปพื่อชาติ” มุ่งเน้นไปยังผู้ที่อยู่ในระบบภาษีที่ถูกต้องของภาครัฐ ทั้งผู้ประกอบการที่สามารถออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ และ ผู้บริโภคที่เป็นผู้มีรายได้พึงประเมินและเสียภาษีประจำปี จากผลการศึกษาของธนาคารโลก ระบุว่า ประเทศไทยควรเก็บภาษีให้ได้ร้อยละ 21.35 ของจีดีพี แต่ปราฏว่า ภาครัฐเก็บได้เพียง ร้อยละ 16.02 ของจีดีพี เท่านั้น

นอกจากนี้ จากการศึกษาโครงสร้างภาษีเงินได้นิติบุคคล พบว่า มีผู้ประกอบการจดทะเบียนในรูปบริษัท,ห้างหุ้นส่วน ทั้งหมดมีเพียง 327,127 ราย ในขณะที่มีผู้จดทะเบียนการค้ากับกรมพัฒนาธุรกิจกว่า 2.7 ล้านราย ซึ่งหมายความว่า มีผู้ประกอบการที่จดทะเบียนดำเนินธุรกิจเข้าสู่ระบบโครงสร้างภาษีเงินได้นิติบุคคล เพียงแค่ ร้อยละ 12 ซึ่งมาตรการนี้เป็นมาตรการที่แยบยลที่จูงใจให้ผู้ประกอบการเห็นประโยชน์ต่อการเข้าระบบโครงสร้างภาษีนิติบุคคลมากขึ้น ในขณะเดียวกัน บุคคลธรรมดาก็เต็มใจที่จะเข้าสู่โครงสร้างภาษีบุคคลมากขึ้นเช่นกัน

สำหรับข้อสุดท้ายข้อ 4. ถูกเวลา มาตรการช้อปเพื่อชาติ เป็นมาตรการระยะสั้น ระหว่างวันที่ 25-31 ธ.ค. 2558 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทห้างร้านได้จับจ่ายซื้อของขวัญกระเช้าต่างๆ สวัสดีปีใหม่แก่ลูกค้าผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ช่วง 7 วันสุดท้ายของปี จึงเป็นช่วงการจับจ่ายเพื่อตัวเองและครอบครัว เมื่อมีมาตรการกระตุ้น จึงทำให้เกิด Maximize the Maximum Effect การจับจ่ายเพิ่มเป็นทวีคูณ

 

แม้ว่ามาตรการช้อปช่วยชาติจะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา แต่เพื่อให้ธุรกิจค้าปลีกเติบโตแบบมีเสถียรภาพ ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยจึงมีข้อเสนอที่จะยื่นต่อภาครัฐ ด้วยกัน 6 ข้อ คือ 1.รัฐต้องเร่งรัดการลงทุนโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ โดยเร็ว เนื่องจากกำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางลงล่าง เกษตรกร และ ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศยังอ่อนแอ หากโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะโครงการเศรษฐกิจดิจิตอล โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่ ถูกเลื่อนออกไป เม็ดเงินที่เกิดจากการสร้างงาน และ จ้างงานก็ชะลอลง ซึ่งจะส่งต่อการบริโภคให้ยิ่งอ่อนแอลง

2. รัฐต้องหามาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยมุ่งไปยังผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งกำลังซื้อยังค่อนข้างแข็งแรง อย่างมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” เพื่อให้เม็ดเงินในการจับจ่ายสู่ภูมิภาคและจังหวัดต่างๆ เมื่อเกิดการจับจ่าย ก็จะส่งผลให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ท้องถิ่นต่างจังหวัด ซึ่งกำลังซื้ออ่อนแอให้เข้มแข็งขึ้น

3. รัฐต้องเร่งมาตรการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในการจับจ่ายและการลงทุน เช่น มาตรการส่งเสริมการจับจ่ายในช่วง low season โดยให้มีความร่วมมือทั้งจากภาคการท่องเที่ยว, โรงแรม, และค้าปลีก ซึ่งจะสามารถกระตุ้นให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้

ข้อ 4. เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นเซ็กเม้นท์เดียวที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงควรจะต้องพิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มแฟชั่นชั้นนำ (Luxury Brand) เพื่อกระตุ้นยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เพิ่มขึ้นได้ 

5. พิจารณาการใช้มาตรการทางภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่นักนักท่องเที่ยวใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น

 

 

และ 6. ภาครัฐต้องพิจารณาส่งเสริมผู้ประกอบการรายอื่นๆ ให้เข้ามาดำเนินธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน และพื้นที่ค้าปลีกนอกสนามบิน เพื่อเปิดแข่งขันเสรีในทุกภาคส่วนในประเทศไทย โดยภาครัฐต้องสนับสนุนให้มีจุดส่งมอบสินค้า (Pick-up counter) ในทุกสนามบินนานาชาติ ที่มีร้านค้าปลอดอากรในเมืองตั้งอยู่ เพื่อรัฐจะได้มีรายได้จากการส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น

จากข้อเสนอที่ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยพยายามกระทุ้งรัฐให้หันมาสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการค้าปลีกในครั้งนี้ หากภาครัฐเร่งเข้ามาสนับสนุน นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้การบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวแล้ว ยังถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการดึงเม็ดเงินนอกประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาฟื้นเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพอีกหนึ่งทางด้วย.


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 08 ม.ค. 2559 เวลา : 20:59:23
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 2:46 pm