แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2558 จะอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องอยู่ในภาวะชะลอตัวไปด้วย แต่สำหรับภาพรวมตลาดนมพร้อมดื่มในประเทศไทยก็ยังมีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลภาพรวมตลาดนมพร้อมดื่มในปีที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งปีที่มีความคึกคัก
นอกจากนี้ การที่ผู้ประกอบการในตลาดนมออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ภาพรวมตลาดนมในปี 2558 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตสูงถึง 5.6% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 27,000 ล้านบาท ขยายตัวสวนกระแสเศรษฐกิจไทย ซึ่งปีที่ผ่านมาเติบโตไม่ถึง 3%
จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมตลาดนมพร้อมดื่มในปี 2559 เริ่มส่งสัญญาณความคึกคักตั้งแต่ต้นปี โดยมีบริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด เป็นผู้ประเดิมออกมาสร้างความคึกคัก เพื่อตอกย้ำการแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะแบรนด์ โยเกิร์ต ถ้วย “เมจิ บัลแกเรีย” ซึ่งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สินค้าดังกล่าวได้ออกมาสร้างความคึกคักให้กับตลาดโยเกิร์ตมากพอสมควร
นายสุจริต มัยลาภ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมแบรนด์ “เมจิ” และโยเกิร์ต “เมจิ” กล่าวว่า จากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมีอัตราการเติบโตเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มในปี 2558 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 5.6% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 27,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในมูลค่าตลาดดังกล่าว มีผลิตภัณฑ์นมที่สร้างยอดขายอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ
1. ตลาดนมสดพาสเจอไรซ์ ปัจจุบันมีมูลค่า 7,000 ล้านบาท เติบโต 5% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 8% ในปี 2559 มีบริษัท ซีพี-เมจิ เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาด 54% มียอดขายเติบโตขึ้น 11.6%
2. ตลาดนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตพร้อมดื่ม ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท เติบโต 20% บริษัท ซีพี-เมจิ ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 5% และ 3. ตลาดโยเกริ์ตถ้วย ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 4,700 ล้านบาท เติบโต 7% บริษัท ซีพี-เมจิ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 7%
จากการขยายตัวในทิศทางที่ดีของตลาดนมพร้อมดื่มในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัท ซีพี-เมจิ เล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาขยายธุรกิจในกลุ่มของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพในทุกๆ รูปแบบ โดยในเฉพาะในส่วนของโยเกิร์ต ซึ่งปัจจุบันคนไทยเริ่มมีอัตราการบริโภคที่สูงขึ้นจากคนละ 9 กิโลกรัมต่อปีเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มเป็น 16 กิโลกรัมต่อปีในปัจจุบัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 20 กิโลกรัมต่อปีในอนาคตอันใกล้นี้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าพฤติกรรมของคนไทยจะหันมาบริโภคโยเกิร์ตมากขึ้น แต่หากนำสถิติการบริโภคโยเกิร์ตของคนไทยไปเปรียบเทียบกับผู้บริโภคในประเทศอื่นๆ ถือยังเป็นอัตราการบริโภคที่ไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผู้บริโภคในประเทศญี่ปุ่นที่มีการบริโภคโยเกิร์ตสูงถึง 90 กิโลกรัมต่อปี และหากนำมาเปรียบเทียบกับผู้บริโภคในทวีปยุโรปที่มีการบริโภคโยเกิร์ตมากถึง 200 กิโลกรัมต่อปี อัตราการบริโภคของคนไทยถือว่ายังน้อยมาก จึงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะออกมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตใหม่ๆ เข้าทำตลาด เพื่อกระตุ้นการบริโภคของผู้บริโภคชาวไทย
จากโอกาสและช่องว่างที่ยังมีอีกมากในตลาดโยเกิร์ตในประเทศไทย จะเห็นได้ว่าปี 2558 ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการในตลาดโยเกิร์ตออกมาเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีการดึงดาราชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้า เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำของผู้บริโภค และหนึ่งในผู้ประกอบการดังกล่าวคือ บริษัท ซีพี-เมจิ
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซีพี-เมจิ ในปีนี้ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” เข้าทำตลาด หลังจากใช้เวลาคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาเป็นระยะเวลา 2 ปี
ในส่วนของจุดเด่นผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” ที่บริษัท ซีพี-เมจิ ได้เปิดตัวเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ จะเน้นไปที่จุดเด่นในด้านของนวัตกรรมการผลิตที่มีการใช้วัตถุดิบจุลินทรีย์สายพันธุ์ LB81 จากประเทศบัลแกเรีย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งจะเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวมีชีวิตที่เร่งรีบในการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
หลังจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” เข้าทำตลาด บริษัท ซีพี-เมจิ ก็มีแผนที่จะใช้งบประมาณ 70 ล้านบาท จากงบรวมทั้งปีที่เตรียมไว้ประมาณ 300-400 ล้านบาท เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เช่น การเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. เป็นต้นไป การสร้างการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมโรดโชว์และแจกสินค้าตัวอย่างจำนวน 5 แสนขวด เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองชิมผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” ก่อนที่จะมีการขยายช่องทางจำหน่ายทั่วประเทศในเดือน ก.พ.นี้
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” มีสินค้าเข้าทำตลาดอยู่จำนวน 2 รสชาติ คือ รสกลมกล่อม และรสไวลด์ เบอร์รี่ จำหน่ายในขนาดบรรจุ 140 มล. ราคา 20 บาท เริ่มจำหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่นอีเลฟเว่นแล้วตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา
นายสุจริตกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดโยเกิร์ตถ้วย 15% จากแบรนด์ เมจิ บัลแกเรีย 10% และแบรนด์เมจิ 5% ขณะที่ผู้นำตลาด คือ ดัชมิลล์ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 65% ซึ่งในส่วนของตลาดโยเกิร์ตพร้อมดื่มบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้นำตลาดอย่างดัชมิลล์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 90%
อย่างไรก็ดี หลังจากได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” เข้าทำตลาดครั้งนี้ บริษัท ซีพี-เมจิ มั่นใจว่า จะทำให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดโยเกิร์ตพร้อมดื่มเพิ่มเป็น 20% ภายใน 3-5 ปีอย่างแน่นอน ส่วนเป้าหมายรายได้ของผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” ในปีสิ้นปี 2559 นี้บ ริษัท ซีพี- เมจิ คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
หลังจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” เข้าทำตลาด บริษัท ซีพี-เมจิ มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าในกลุ่มอื่นๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้สิ้นปี 2559 มีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 14-15% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 7,600 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปี 2557 แบ่งเป็นรายได้ในประเทศ 80% และส่งออก 20%
ทั้งนี้ ในมูลค่ารายได้ดังกล่าว แบ่งเป็น สัดส่วนผลิตภัณฑ์นมสดพาสเจอไรซ์ 80% นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต 20% และจากเป้าหมายปี 2559 ที่ต้องการมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 8,500 ล้านบาท บริษัท ซีพี-เมจิ คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้เป็นในประเทศ 77% และส่งออก 23% หลังจากนั้นปี 2560 คาดว่าจะมีรายได้ในประเทศอยู่ที่ 75% และส่งออก 25%
ข่าวเด่น