ประกัน
"สาระ ล่ำซำ" บิ๊กเมืองไทยประกันชีวิต ประกาศเป้าปี 59 โกยเบี้ย 100,000 ล้าน


"เมืองไทยประกันชีวิต" ขนแม่ทัพประกาศเป้าปี 59 กลางกรุงพนมเปญ โกยเบี้ยประกันรับรวม 100,000 ล้าน จากปี 58 ชูผลงานเบี้ย 8.78 หมื่นล้าน เติบโต 17% วางกลยุทธ์เจาะตลาดท้ั้งใน- ตปท. โฟกัสกลุ่ม CLMV แย้มไม่เกินไตรมาสแรก เปิดตัวพันธมิตรลุยธุรกิจประกันในกัมพูชา หลังตั้งบริษัทร่วมทุนในเวียดนาม และสำนักงานผู้แทนในเมียนมาร์ ขณะ สปป.ลาว และกลุ่มประเทศทางใต้อาเซียน อยู่ระหว่างศึกษาช่องทางทำธุรกิจ เชื่อด้วยศักยภาพองค์กรพร้อมเดินหน้าสู่”บริษัทประกันชีวิตระดับภูมิภาค” ชู "ดิจิตอล-ออนไลน์" กระตุ้นการขาย

 

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2559 นี้ เมืองไทยประกันชีวิตตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันชีวิตรับรวมที่ 100,000 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ทำได้ 87,880 ล้านบาท โดยจะใช้กลยุทธ์เจาะตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับกลยุทธ์เจาะตลาดในประเทศ เมืองไทยประกันชีวิตจะเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์และไลฟ์สไตล์ของลูกค้า รวมถึงการสร้างเครือข่ายผ่านช่องทางการขาย อาทิ ผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและช่วยกระตุ้นการขาย ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าเทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง และสังคมไทยกำลังเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ฉะนั้นจึงต้องคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มนี้และรองรับเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ครอบคลุมมากขึ้น

ส่วนกลยุทธ์เจาะตลาดต่างประเทศ เมืองไทยประกันชีวิตมีนโยบายรุกตลาดการประกันชีวิตในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างต่อเนื่อง โดยได้ร่วมจัดตั้ง “Sovannaphum Life Assurance  PLC” เพื่อดำเนินธุรกิจประกันชีวิตในกัมพูชา ซึ่งในเร็วๆ นี้ ไม่น่าจะเกินไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯเตรียมจะจัดแถลงข่าวร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในกัมพูชา

 

นายสาระกล่าวว่า ในปี 2559 นี้ เมืองไทยประกันชีวิตมีความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่ ซึ่งจะเป็นเสมือนเป้าหมายสู่ความสำเร็จในอนาคต “มุ่งมั่นเป็นคู่คิดที่ลูกค้าวางใจ ผ่านนวัตกรรมเพื่อตอบสนองทุกความต้องการด้วยการทำงานที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง”

นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาค่านิยมหลัก (Core Value) ชุดใหม่ เพื่อสะท้อนถึงบุคลิกที่เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีคุณภาพ มั่นคงแข็งแกร่งในระยะยาว ซึ่งเรียกว่า “The M Powerd C” ประกอบด้วย

-    Customer Centric – เพื่อลูกค้าด้วยความเข้าใจ
-    Creativity – กล้าคิด กล้าทำ
-    Commitment to Success – รับผิดชอบสู่ความสำเร็จ
-    Collaboration–ประสานเพื่อภาพรวม
-    Caring –ดูแล ใส่ใจ ด้วยใจจริง

 

นายสาระ กล่าวว่า นโยบาย”ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” (Customer Centric) ยังคงเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจเพื่อความมั่นคงและยั่งยืนที่เมืองไทยประกันชีวิตยึดถือ ทั้งในมิติการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป็นสำคัญ เครือข่ายช่องทางขายที่ครอบคลุม เข้าถึง และเป็นมืออาชีพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้เอาประกัน ช่องทางบริการที่หลากหลายสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า ตลอดจนกิจกรรมแห่งความสุขและรอยยิ้มผ่าน “เมืองไทย Smile Club”  ที่สร้างสรรค์กิจกรรมและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ลูกค้าชื่นชอบ

ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ “ดิจิตอล”  ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคนั้น เมืองไทยประกันชีวิตได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างยิ่ง โดยมีความมุ่งมั่นที่จะเป็น “ดิจิตอล อินชัวเรอร์” ด้วยการนำระบบดิจิตอลเข้ามาสนับสนุนกระบวนการทำงานในทุกขั้นตอนของธุรกิจ นอกจากช่องทางเว็บไซต์แล้ว บริษัทฯ ยังได้ใช้ช่องทางสังคมออนไลน์ (Social Media) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การสื่อสารกับผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนา Application เพื่อตอบโจทย์การบริการรูปแบบต่างๆ เช่น Smile Privilege Application เป็นช่องทางใหม่ในการมอบสิทธิประโยชน์แก่สมาชิกเมืองไทย Smile Club และ MTL FIT Application ที่สามารถสนุกสนานไปกับการออกกำลังกายพร้อมกับแชร์ภาพออกกำลังกายผ่าน Social Media ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มช่องทางการขายประกันออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.muangthai.co.th และยังได้เปิดตัว Personalized VDO ซึ่งเป็นช่องทางใหม่สำหรับสื่อสารตรงถึงลูกค้าแบบเฉพาะบุคคลอีกด้วย

ล่าสุด บริษัทฯ ยังได้จัดตั้ง “Innovation Center”  เพื่อติดตามและศึกษาแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค และ FinTech (Financial Technology) ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกมากมาย และสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับปัจจัยเหล่านี้ ตลอดจนพัฒนามิติต่างๆ ของธุรกิจให้สอดคล้องไปกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วย

 

นอกจากนี้ การเข้าสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” (ASEAN Economic Community - AEC) ที่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วนั้น บริษัทฯ ในฐานะหนึ่งในผู้นำของธุรกิจประกันชีวิตของประเทศไทย ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายศักยภาพทางธุรกิจออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีเป้าหมายที่จะยกระดับเป็น “บริษัทประกันชีวิตระดับภูมิภาค” หรือ Regional Life Insurance Company

 

โดยล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมจัดตั้ง “Sovannaphum Life Assurance PLC” เพื่อดำเนินธุรกิจประกันชีวิตในประเทศกัมพูชา โดยคาดว่าไม่เกินไตรมาสแรกปีนี้ สามารถที่จะแถลงข่าวประกาศบริษัทพันธมิตรที่จะร่วมทำธุรกิจประกันในกัมพูชาด้วยกัน ซึ่งแม้ว่าการทำธุรกิจประกันชีวิตในกัมพูชาจะยังคงใหม่สำหรับเมืองไทยประกันชีวิต แต่บริษัทฯก็จะใช้ช่องทางดิจิตอลในการช่วยเกื้อหนุนธุรกิจ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าตอบรับได้เร็วขึ้น

และก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) เพื่อร่วมจัดตั้งบริษัทประกันชีวิตร่วมทุนในประเทศเวียดนาม ภายใต้ชื่อ “MB Ageas Life” และเมื่อปี 2557 ยังได้จัดตั้งสำนักงานผู้แทน (Representative Office) เพื่อให้ความรู้ด้านการประกันชีวิตในประเทศเมียนมาร์ด้วย ส่วนประเทศอื่นๆ ใน AEC อาทิ สปป.ลาว และกลุ่มประเทศทางใต้ของอาเซียน อยู่ระหว่างศึกษาช่องทางการเข้าไปทำตลาด

“เมืองไทยประกันชีวิตมองว่า ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า กลุ่มประเทศอาเซียนในเขตอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือที่เรียกว่า CLMV ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา ลาว สหภาพเมียนมาร์ และเวียดนาม จะมีการเติบโตและพัฒนาอีกมาก โดยประชากรมีรวมกันถึง 300 ล้านคน และปัจจุบันยังมีการทำประกันในสัดส่วนที่น้อย ฉะนั้นจึงมีช่องว่างให้เข้าไปทำธุรกิจได้อีกมาก ขณะที่เทรนด์ความนิยมในเรื่องการทำประกันจะคล้ายกับประเทศไทย ที่เน้นในเรื่องการคุ้มครองและการสะสมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการแข่งขันก็จะมีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน เพราะหลายบริษัทประกันทั้งในประเทศไทยและบริษัทประกันต่างชาติ ต่างก็มองที่จะเข้าไปเจาะตลาดประเทศในกลุ่ม CLMV " นายสาระกล่าว

 

 

นายสาระ กล่าวต่อไปว่า เมืองไทยประกันชิวิตถือว่านโยบายยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางเป็นหลักการที่สำคัญยิ่งในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ติดตามความเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย ทั้งเรื่องดิจิตอล พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า การเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกค้า รวมถึงการเปิด AEC ด้วย เพื่อให้เมืองไทยประกันชีวิตพร้อมที่จะปรับตัวได้ตลอดเวลา อันจะนำไปสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

ดังจะเห็นได้ว่า ในปี 2558 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่มีความท้าทายต่อการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตมากพอสมควร แต่ด้วยจุดเด่นของประกันชีวิตที่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่สามารถตอบโจทย์ ทั้งความคุ้มครองชีวิต การออมเงินระยะยาว รวมถึงเป็นการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพ อุบัติเหตุ โรคร้ายแรงต่างๆ ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตต่างปรับตัวให้สอดคล้องกับโจทย์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ธุรกิจยังสามารถเติบโตได้เป็นที่น่าพอใจ

 

 

โดยผลการดำเนินงานในปี 2558  เมืองไทยประกันชีวิตสามารถเติบโตด้วยความมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยสร้างผลงานเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ 37,938 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน โดยเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับปีแรก 26,247 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 18% และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไป (เบี้ยต่ออายุ) 49,942 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน ส่งผลให้มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 87,880 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17%

“ปัจจุบันเมืองไทยประกันชีวิตมีสินทรัพย์รวมใกล้แตะ 3 แสนล้านบาท แล้ว โดยเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 23% ซึ่ง 95% เป็นสินทรัพย์ที่นำไปหารายได้ ขณะที่การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของบริษัทฯ อยู่ที่ 422% จากเกณฑ์ขั้นต่ำของทางการที่ 140%  ช่องทางการขายเราก็มาจากตัวแทน และธนาคารเป็นหลักถึง 90% ซึ่งในปีที่ผ่านมา ทั้ง 2 ช่องทางก็เติบโตได้กว่า 10% ทั้งคู่ " นายสาระกล่าวและว่า สำหรับภาพรวมการแข่งขันในธุรกิจประกันชีวิตปี 2559 คาดว่าจะแข่งขันกันรุนแรง แต่ก็เป็นผลดีกับผู้บริโภค เพราะแต่ละบริษัทจะเร่งออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองลูกค้ามากขึ้น


บันทึกโดย : วันที่ : 01 ก.พ. 2559 เวลา : 15:54:53
20-09-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 20, 2024, 5:03 am