การตลาด
ค้าปลีกเดือด"กลุ่มเจริญ" ทุ่มแสนล้าน เทคโอเวอร์ BIGC


 

หลังจากที่กลุ่มคาสิโนกลุ่มบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของฝรั่งเศส ประกาศขายหุ้นของบิ๊กซีประเทศไทย (BIGC) ให้กับบริษัท ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ของ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นมูลค่าประมาณ 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 122,400 ล้านบาท ทำให้ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น

 

 

เนื่องจากตลาดมีผู้เล่นรายใหม่ที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เอื้อต่อการขยายเครือข่ายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากเดิมตลาดค้าปลีกอยู่ภายใต้การทำตลาดของผู้ประกอบการกลุ่มเดิมๆ เช่น เซ็นทรัล,เดอะมอลล์,เครือเจริญโภคภัณฑ์ เท่านั้น

 

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ค้าปลีกไทย เปิดเผยหลังกลุ่มคาสิโน ฝรั่งเศส ออกมาประกาศว่าได้ขายหุ้นให้กลุ่มนายเจริญ  สิริวัฒนภักดี ว่า สิ่งที่กังวลก็คือ การที่กลุ่มนายเจริญมีธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จากเป็นผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ไปสู่ธุรกิจค้าปลีก โอกาสเกิดการกีดกันการค้าสินค้าคู่แข่ง โดยเอื้อให้กับสินค้าแบรนด์ของตัวเองมีความเป็นไปได้สูง อาจถึงขั้นแบ่งขั้วซัพพลายเออร์จำหน่ายสินค้าให้กับเทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี

 

ด้าน นายชลิต ลิมปนะเวช  อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การซื้อหุ้นบิ๊กซีครั้งนี้ ถือว่าคุ้มค่า เพราะธุรกิจค้าปลีกส่งผลให้กลุ่มนายเจริญมีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ  กลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับจัดจำหน่ายสินค้าในเครือ อาทิ ไทยเบฟเวอเรจ โออิชิ กรุ๊ป เอฟแอนด์เอ็น เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ โดยเอื้อประโยชน์สินค้าให้มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น การจัดวางสินค้าให้มีความโดดเด่น จัดทำโปรโมชั่นสินค้าได้ถูก
         

 

ขณะที่ นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการที่นายเจริญซื้อหุ้นบิ๊กซีที่อยู่ในประเทศไทย ว่า มีโอกาสทางธุรกิจอยู่พอสมควร เพราะแนวโน้มอัตราการเติบโตค้าปลีกของไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีอยู่ที่ประมาณ 5% แม้ว่าจะอยู่ในระดับปานกลาง หากเปรียบเทียบกับภาพรวมค้าปลีกของเวียดนามและอินโดนีเซียที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตมากกว่า 10%

ซึ่งพฤติกรรมการเข้าใช้บริการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ของคนไทย พบว่า ลูกค้าประมาณ 46% เลือกเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ  ส่วนสัดส่วนอีกราว 30% เข้าใช้บริการค้าปลีกแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต และอีกกว่า 10% นิยมเข้าไปจับจ่ายภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งบิ๊กซีอยู่ในเซกเมนต์ขนาดใหญ่ และสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดี รองจากร้านสะดวกซื้อ

ส่วนภาพรวมการแข่งขันในค้าปลีกนับจากนี้ คาดการณ์ว่า จะมีแบรนด์จากต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 5 ปี โดยเฉพาะในรูปแบบของร้านสะดวกซื้อ เช่น Alfa Mart และ Indo Maret จากประเทศอินโดนีเซีย หรือแม้แต่แบรนด์นอกอาเซียนจากเกาหลีใต้อย่างร้านสะดวกซื้อ ลอตเต้ ก็มีความสนใจเข้ามาขยายธุรกิจในประเทศไทยด้วยเช่นกัน

 

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของตลาดค้าปลีก ยังต้องติดตามกรณีกลุ่มเทสโก้ ยักษ์ค้าปลีกแห่งอังกฤษ ที่มีกระแสข่าวขายกิจการ "เทสโก้ โลตัส" ในประเทศไทย ซึ่งประเมินว่าจะมีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3.2 แสนล้านบาท


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 ก.พ. 2559 เวลา : 20:54:59
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 2:41 pm