แม้ว่าปี 2558 ที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ภาพรวมรายได้ของบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กลับไม่ชะลอตัวจามสปัจจัยลยเศรษฐกิจ เห็นได้จากภาพรวมรายได้ที่มีมูลค่าสูงถึง 283,450 ล้านบาท เติบโต 13.5% เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ในปี 2557 ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวถือเป็นอัตราการเติบโตที่กลุ่มเซ็นทรัลภูมิใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมจีดีพีของประเทศไทยในปี 2558 ที่มีอัตราการเติบโตเพียง 2.8% เท่านั้น
จากมูลค่ารายได้กว่า 2 แสนล้านบาทที่ กลุ่มเซ็นทรัลได้รับในปี 2558 ที่ผ่านมา แบ่งเป็นรายได้ที่มาจากต่างประเทศประมาณ 18% ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่กลุ่มเซ็นทรัล มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 12% เนื่องจากมีการเข้าไปลงทุน ด้วยการซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าในยุโรปหลายโครงการ จึงทำให้สัดส่วนรายได้ในต่างประเทศเริ่มขยับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หากย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 2556 กลุ่มเซ็นทรัลจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 11% ขณะที่ปี 2555 มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 9% และปี 2554 มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 5% และจากการที่กิจการที่กลุ่มเซ็นทรัลซื้อสะสมไว้ในปีที่ผ่านมา ส่งผลคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2559 จะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 24%
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า ภูมิภาคที่สร้างรายได้ในต่างประเทศให้มากที่สุดตอนนี้ คือ ยุโรป เนื่องจากช่วง 4-5 ปีที่่ผ่านมา บริษัทมีการเข้าไปขยายธุรกิจในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเข้าไปซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าในหลายประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในเครือ ซึ่งการที่บริษัทหันเข้าไปลงทุนในยุโรปช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากภูมิภาคยุโรปกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว
หลังจากไปซื้อทรัพย์สินในยุโรปสะสมไว้ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปี 2558 กลุ่มเซ็นทรัล มีรายได้ที่มาจากธุรกิจในกลุ่มประเทศยุโรปที่ 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีรายได้อยู่ที่ 22,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 24% และในปี 2559 นี้คาว่าจะมีรายได้จากธุรกิจห้างสรรพสินค้าในยุโรปเพิ่มเป็น 51,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีของการทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าในกลุ่มประเทศยุโรปในปี 2563 จะมีรายได้เพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาท
ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัล มีธุรกิจห้างสรรพสินค้าในยุโรป ด้วยกัน 5 แบรนด์ ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าลา รีนาเซนเต มิลาน ประเทศอิตาลี ห้างสรรพสินค้าคาเดเว ประเทศเยอรมัน ห้างสรรพสินค้าอัลสแตร์เฮ้าส์ ประเทศเยอรมัน ห้างสรรพสินค้าโอเบอร์โพลลิงเกอร์ ประเทศเยอรมัน และห้างสรรพสินค้าอิลลุ่ม ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่เข้าไปลงทุนขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศยุโรป กลุ่มเซ็นทรัลมีการใช้งบลงทุนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 40,800 ล้านบาท และในอีก 5 ปีนับจากนี้ (2559-2563) กลุ่มเซ็นทรัล มีแผนที่จะเตรียมงบอีก 10,400 ล้านบาท ปรับปรุงห้างสรรพสินค้าในเครือ ประกอบด้วย ลา รีนาเซนเต 3,600 ล้านบาท ห้างสรรพสินค้าอิลลุม 2,400 ล้านบาท และกลุ่มห้างสรรพสินค้าคาเดเวกรุ๊ปในเยอะมัน 4,400 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในเครืออย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม หรือร้านค้า ร้านอาหาร ด้วยการเตรียมงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 39,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของงบดังกล่าวไม่นับรวมงบที่จะใช้ซื้อกิจการที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสนใจจะเข้าไปซื้อกิจการมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกในเครือ คือ บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ ในประเทศเวียดนาม หลังจากก่อนหน้านี้พลาดสิทธิ์การเข้าซื้อกิจการบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ในประเทศไทยที่ปลุกปั้นมากับมือไปให้กับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี
ในส่วนของธุรกิจศูนย์การค้าโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นปีนี้ มีด้วยกัน 2 แห่ง คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา นครศรีธรรมราช และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา ส่วนอีก 1 ศูนย์การค้าที่ได้ใช้งบลงทุนไปแล้วและปีนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพื่อให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2560 คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต เฟส 2 ส่วนธุรกิจห้างสรรพสินค้า โครงการใหม่เปิดให้บริการในปีนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 สาขา คือ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน นครศรีธรรมราช และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ลพบุรี
นอกจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัล ยังมีแผนที่จะสร้างห้างสรรพสินค้าเซน ในตลาดต่างจังหวัดสาขาแรก ที่หาดป่าตอง บนพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ภายหลังจากเข้าซื้ออาคารห้างค้าปลีกท้องถิ่นเป็นที่เรียบร้อย เพื่อนำที่ดินผืนดังกล่าวมาปรับปรุงเป็นห้างสรรพสินค้าเซน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผน ซึ่งนอกจากจะเปิดให้บริการโครงการใหม่แล้ว ในส่วนของโครงการเก่าทั้งในส่วนของศูนย์กาค้าและห้างสรรพสินค้า กลุ่มเซ็นทรัล ก็มีแผนที่จะปรับปรุงให้มีความสวยงามเช่นกัน โดยในกลุ่มของธุรกิจศูนย์การค้าที่จะปรับปรุงในปีนี้ ประกอบด้วย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พัทยา เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 3
ส่วนธุรกิจห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่จะดำเนินการปรับปรุงในปีนี้ ประกอบด้วย สาขาชิดลม ,ภูเก็ต,บางนา และปิ่นเกล้า นอกจากนี้ ยังจะทำการปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเซน ควบคู่ไปกับการปรับปรุงห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซึ่งปีนี้มีแผนจะปรับปรุงทั้งหมด 7 สาขา ประกอบด้วย พระราม 9 ,เชียงใหม่,ราชบุรี,ตรัง ,จันทรบุรี,สระบุรี และนครศรีธรรมราช รวมไปถึงการปรับปรุงห้างสรรพสินค้าโรบินส์ ที่โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม
สำหรับธุรกิจโรงแรมปีนี้มีแผนขยายธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศประมาณ 6,716 ห้อง โดยในส่วนของตลาดในประเทศช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้เปิดตัวเซ็นทารา มาริส รีสอร์ท จอมเทียน และเปิดตัวบางกอคอนเวนชั่น คุ้มคำ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ขณะที่ไตรมาส 2 มีแผนที่จะเปิดตัวโรงแรมเซ็นทารา อเวนิว โฮเทล พัทยา และไตรมาส 4 จะเปิดตัวโรงแรมโคซี่ ซึ่งจะเป็นโรงแรมราคาประหยัดอีกประมาณ 6 โครงการในประเทศไทย พร้อมกับเปิดตัวโรงแรมปาร์ค ไฮแอท กรุงเทพ ซึ่งจะเป็นโรงแรมระดับ 6 ดาวมีเพียง 36 สาขาทั่วโลก ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซีเป็นแห่งแรกในประเทศไทย
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ กลุ่มเซ็นทรัล ก็มีแผนที่จะเข้าไปขยายธุรกิจโรงแรมในอีกหลายแห่งเช่นกัน โดยขณะนี้ได้ทำสัญญาบริหารโรงแรมเพิ่มเติมอีก 29 แห่ง รวม 6,716 ห้องพัก ในจำนวนดังกล่าวประกอบด้วย โรงแรมเซ็นทารา มัสกัส โอเทล ประเทศโอมาน โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เวสต์ เบย์ โฮเทล โดฮา ประเทศกาต้าร์ และโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ลีเกีย รีสอร์ท แอนด์สปา ประเทศตุรกี พร้อมกันนี้ ยังจะมีในส่วนของกลุ่มเซ็นทรัลเข้าไปลงทุนเองอีก 2 แห่ง ที่มัลดีฟส์ รวมงบลงทุน 3,517 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ไอแลนด์ รีสอร์ท แอนด์สปา มัลดีฟส์ เป้นโรงแรม 5 ดาว 2,051 ล้านบาท และโรงแรมเซ็นทารา รัส ฟูชิ รีสอร์ท แอนด์ สปา มัลดีฟส์ เป็นโรงแรม 4 ดาว ลงทุน 1,466 ล้านบาท
นอกจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจโรงแรม 4 ดาวที่ประเทศมัลดีฟส์ เพิ่มอีก 2 แห่ง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการลงทุนก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2562 ควบคู่ไปกับการลงทุนโรงแรมระดับ 4 ดาว ที่ประเทศดูไบ ภายใต้งบลงทุน 2,500 ล้านบาท โดยในส่วนของโครงการดังกล่าวจะเป้นการร่วมทุนกับนักธุรกิจกับกลุ่ม Nakheel ,Dubai-based developer เพื่อสร้างบีชฟรอนท์ ระดับ 4 ดาว จำนวน 550 ห้อง
ในด้านของธุรกิจร้านค้าและร้านอาหาร ประกอบตัวด้วย ธุรกิจร้านอาหารในกลุ่มเซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป, ร้านสินค้าแฟชั่นในกลุ่มเซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป, ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์สโตร์ภายใต้แบรนด์เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์, และท็อปส์ เดลี่, ธุรกิจร้านแฟมิลี่มาร์ท, ร้านจำหน่ายสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นโคโมโนยะ , ร้านจำหน่ายสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมัทสึโมโตะ คิโยชิ, ร้านซูเปอร์สปอร์ต, ร้านออฟฟิศเมท, ร้านบีทูเอส, ร้านเพาเวอร์บาย และร้านไทวัสดุ กลุ่มเซ็นทรัลมีแผนที่จะเปิดร้านใหม่รวมไม่ต่ำกว่า 420 สาขา ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจในเครืออย่างต่อเนื่อง กลุ่มเซ็นทรัล คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2559 น่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 337,040 ล้านบาท เติบโต 18.9% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 283,450 ล้านบาท
ข่าวเด่น