ปัจฉิมกถาดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหัวข้อ “อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในสายตาคนรุ่นหลัง”ในโอกาส ครบรอบ 100 ปีชาตกาล ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ณ ห้องภัทรรวมใจ ธนาคารแห่งประเทศไทยวันที่ 10 มีนาคม 2559
ตลอดวันนี้ท่านผู้ใหญ่หลายท่านได้พูดถึงอาจารย์ป๋วยด้วยความเคารพรักและศรัทธา ในมิติต่างๆ ทั้งบทบาทด้านการศึกษา การพัฒนาชนบท การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และบทบาทในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย สำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยได้พบกับอาจารย์ป๋วย ไม่มีโอกาสได้เรียนหรือทางานกับท่าน แต่ผมถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่โชคดี ที่ได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากงานที่ท่านอาจารย์ป๋วยได้วางรากฐานไว้ ครูบาอาจารย์ของผมหลายท่านที่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นนักเรียนที่อาจารย์ป๋วยได้หาทางสนับสนุนให้ไปเรียนต่อจนสำเร็จปริญญาเอก แล้วกลับมาสร้างคณะให้มีความเข้มแข็งจนเป็นที่ยอมรับของแวดวงวิชาการทั้งในและต่างประเทศ ถ่ายทอดแนวคิดวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากอาจารย์ป๋วย ให้แก่นักศึกษารุ่นหลัง ๆ
นอกจากนี้ ผมยังได้รับประโยชน์จากโอกาสที่ได้เข้ามาทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งท่านผู้ว่าการป๋วยได้วางรากฐานไว้อย่างมั่นคง ทั้งด้านบุคลากร องค์ความรู้ กรอบกฎหมาย และที่สำคัญที่สุด คือ มาตรฐานด้านคุณธรรมจริยธรรม
อาจารย์ป๋วยเป็นบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศไว้มากมาย แนวคิดของท่านทรงคุณค่า และยังทันสมัยแม้บริบทในปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงจากอดีตมากก็ตาม แต่เราสามารถเรียนรู้และนาแนวคิดและหลักการของท่าน มาประยุกต์ใช้เป็นหลักในการทำงานและหลักในการใช้ชีวิตในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ในวันนี้ผมขอพูดถึงอาจารย์ป๋วยในสายตาของคนรุ่นหลังที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับท่านโดยตรง แต่มีศรัทธาในผลงาน หลักคิดและหลักชีวิตของท่าน ผมขอพูดใน 2 มิติสำคัญ มิติแรกในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่มีโอกาสเข้ามาบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ และมิติที่สองในฐานะที่เป็นคนไทยรุ่นหลัง
ผมขอเริ่มด้วยมิติแรก ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่มีโอกาสเข้ามาบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ
ในมิตินี้ ประเด็นแรกที่ผมขอพูดถึง คือ ความจำเป็นของการสร้างความน่าเชื่อถือของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจในสายตาของประชาชน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะธนาคารกลางเท่านั้น แต่รวมถึงหน่วยงานหลักของรัฐอีกหลายหน่วยงาน ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเราได้ยินเสียงบ่นบ่อยครั้งว่าหน่วยงานของรัฐไม่สามารถต้านทานอำนาจทางการเมืองที่มุ่งทำนโยบายประชานิยมที่ไม่ถูกไม่ควร หรือมุ่งทำแต่นโยบายแก้ปัญหาระยะสั้นซึ่งเป็นปลายเหตุไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุ ไม่สามารถช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศได้ในระยะยาว
การดำเนินนโยบายเช่นนี้ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพในการเติบโตต่ำลง เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับต่ำต่อเนื่องกันมานานหลายปี เรายังมองไม่เห็นทางออกจากกับดักรายได้ปานกลาง หรือ Middle Income Trap ประชาชนมีหนี้สินในระดับสูง ขณะที่รายได้ยังไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างเท่าทัน ถ้าหากเศรษฐกิจไทยยังคงเดินต่อไปในลักษณะนี้ และไม่มุ่งแก้ไขที่ต้นเหตุ คนไทยจะไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน และเราอาจจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจใหม่ได้ในอนาคต
ช่วงเวลาที่อาจารย์ป๋วยดำรงตำแหน่งสำคัญทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ท่านยืนหยัดบนหลักการของความถูกต้อง อาจารย์ป๋วยท่านกล้าหาญที่จะให้ความเห็นขัดแย้งหรือไม่ยอมทาตามความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมืองหากเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ถูกไม่ควร การยึดถือหลักการของความถูกต้องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือจากประชาชน
สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ความน่าเชื่อถือ คือ หัวใจ ดังที่อาจารย์ป๋วยได้เคยกล่าวไว้ว่า
“หลักการธนาคารกลางก็เช่นเดียวกับหลักการธนาคารทั่วๆ ไป คือ เครดิต และ Faith คือความน่าเชื่อถือซึ่งกันและกัน ทั้งภายในภายนอก ถ้าขาดเครดิตแล้ว เลิกพูดเรื่องการธนาคารได้”
คำพูดสั้น ๆ ของอาจารย์ป๋วยมีความหมายที่กว้างไกลมาก ในระยะข้างหน้านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานของรัฐด้านเศรษฐกิจจะต้องเร่งสร้างเครดิตและ Faith หรือศรัทธา เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในหมู่ประชาชน ถ้าหน่วยงานด้านเศรษฐกิจขาดความน่าเชื่อถือหรือไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างแล้ว ยากที่เราจะขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะใหม่ ๆ หรือปฏิรูปประเทศให้เกิดผลขึ้นได้อย่างแท้จริง ความน่าเชื่อถือจะต้องมาจากการยึดถือหลักของความถูกต้องและมองประโยชน์ของประเทศเป็นพื้นฐาน ควบคู่ไปกับการสร้างองค์ความรู้อย่างเท่าทัน และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการตัดสินใจ
ประเด็นที่สองในมิติของการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค คือ การสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากภายนอกประเทศ อาจารย์ป๋วย มองว่าประเทศไทยจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ต้องเรียนรู้แนวคิด ประสบการณ์ การค้า การลงทุน และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพราะโลกจะมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น อาจารย์ป๋วยได้เคยเขียนไว้ในบทความตอนหนึ่งว่า
“ประเทศผมควรจะมีความสัมพันธ์อันชอบธรรม และเป็นประโยชน์กับโลกภายนอก ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงความคิดและวิชาของมนุษย์ทั้งโลก และประเทศของผมจะได้มีโอกาสรับเงินทุนจากต่างประเทศมาใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม”และ
“ประเทศเล็กควรจะร่วมมือร่วมใจกันออกความเห็นให้เป็นประโยชน์แก่พวกเราเอง... การร่วมมือกันอย่างสนิทสนมยิ่งขึ้น และจะได้มีการปรึกษาหารือกันเป็นงานประจำรวมทั้งจะพยายามประสานงานซึ่งกันและกันในด้านโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วย ความสนิทสนมระหว่างประเทศเล็กต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่แต่ละประเทศ”
ในสมัยที่อาจารย์ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ท่านเป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนผลักดันความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนนำไปสู่การจัดตั้ง SEACEN หรือ South East Asian Central Banks ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้วเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันและกันสร้างประโยชน์ในการต่อรองประเด็นทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในเวทีโลก
การรวมกลุ่มธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อาจารย์ป๋วยริเริ่มไว้นั้น ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องและเจริญก้าวหน้าจนนำไปสู่การจัดตั้ง SEACEN Centre ซึ่งเป็นสถาบันฝึกอบรมทางวิชาการ และพัฒนาความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับธนาคารกลางให้กับบุคลากรของธนาคารกลางทั้งภูมิภาคเอเชียในปัจจุบัน ซึ่งผมมีความยินดีที่จะเรียนทุกท่านทราบว่า SEACEN Centre จะได้ร่วมเฉลิมฉลอง 100 ปีชาตกาลของอาจารย์ป๋วยในวันที่ 14 มีนาคมนี้ด้วยที่ประเทศมาเลเซีย โดยจัดสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “Central Bank Cooperation and Mandates” มีผู้ว่าการธนาคารกลางทั้งปัจจุบันและอดีตจานวนมากตอบรับที่จะไปร่วมงานด้วยความศรัทธาและระลึกถึงท่านอาจารย์ป๋วย
มองไปข้างหน้า ภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นภูมิภาคที่สำคัญยิ่งสาหรับอนาคตของเศรษฐกิจไทย ความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ทั้งเพื่อช่วยเหลือสอดส่องดูแลเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน ช่วยสร้างความเชื่อมโยงของระบบการเงิน ตลอดจนช่วยกันป้องกันปัญหาทางเศรษฐกิจไม่ให้ลุกลาม รวมทั้งช่วยพัฒนาศักยภาพของธนาคารกลางอื่นในภูมิภาคฯ ด้วย
ประเด็นที่สาม ในมิติของการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค คือ การสร้างความสมดุลและให้ความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในสภาวะปัจจุบันที่ความผันผวนจากภายนอกประเทศเกิดถี่ขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้น การสร้างความสมดุลและภูมิคุ้มกันสำคัญมากขึ้น ช่วงเวลา 12 ปีที่อาจารย์ป๋วย เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ท่านได้บริหารเศรษฐกิจมหภาคด้วยความระมัดระวัง ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพ ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง และเสถียรภาพการเงินก็อยู่ในระดับดี กล่าวคือ อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับเหมาะสมไม่เกินร้อยละ 3 และเงินสำรองระหว่างประเทศมีความเข้มแข็ง
ท่านได้อธิบายแนวทางการดูแลเศรษฐกิจและการเงินของประเทศผ่านทฤษฎีลูกโป่ง ที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ทฤษฎีลูกโป่งแสดงถึงความสัมพันธ์ของนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง และการเงินระหว่างประเทศ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจของอาจารย์ป๋วย มีจุดมุ่งหมายให้ประเทศพัฒนาได้อย่างมีเสถียรภาพ ค่าเงินบาทไม่ผันผวน เงินไม่เฟ้อ หรือฝืดเคือง ธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาปริมาณเงินให้เป็นไปโดยสมดุล สัมพันธ์กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังเช่นที่ท่านอาจารย์ป๋วยได้เคยกล่าวไว้ว่า
“ดาวประจาเมืองไทย ... คือ ดาวพัฒนา และดาวพระเสถียรภาพ ถ้าปล่อยให้พระราคาลอยตุปัดตุเป๋ตามยถากรรม และปล่อยให้ดาวบางดวงแทรกแซงตามอำเภอใจแล้ว คงจะชนพระเสถียรภาพสะบั้น แล้วดาวพระพัฒนาจะอยู่ได้อย่างไร”
“ข้อที่ควรคำนึงข้อหนึ่งเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ คือ เราจำเป็นต้องให้บ้านเมืองของเราเจริญขึ้นชนิดที่มีเสถียรภาพ มีหลายประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ และพยายามที่จะใช้วิธีการต่างๆ ให้ก้าวหน้ารวดเร็ว โดยไม่คำนึงถึงเสถียรภาพทางการเงิน ผลการพัฒนาแบบนั้น ก็คือ ในที่สุดไม่สามารถพัฒนาได้ตามความมุ่งหมาย”
ประเด็นที่สี่ มิติของการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค คือ ต้องพัฒนาเศรษฐกิจในลักษณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์ร่วมกัน หรือ Inclusive Growth อาจารย์ป๋วย มองเห็นปัญหาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตในอัตราที่สูง ๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ ว่าเกิดการกระจุกตัวอยู่กับเขตเมืองโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร แต่ชนบทที่ห่างไกลกลับได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม ไม่เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมต่อคนส่วนใหญ่ จนอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งความเปราะบาง ในสังคมได้ การบริหารเศรษฐกิจมหภาคของท่านจึงไม่ได้มองแค่มิติทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว สำหรับท่านอาจารย์ป๋วยแล้ว นักเศรษฐศาสตร์ต้องให้ความสำคัญต่อเรื่องสังคมด้วย ดังคำกล่าวของท่านในหลายครั้งว่า
“นักเศรษฐศาสตร์มักจะเพ่งเล็งแต่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าเป็นเช่นนี้จะว่ามีการพัฒนาที่สมบูรณ์มิได้ จำเป็นต้องพิจารณาเลยไปถึงการพัฒนาทางสังคมด้วย”
“ผมรู้สึกเสียดายที่รู้สึกว่าได้บกพร่องไปในการพิจารณาเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ คือ ดูแต่ความเจริญเติบโตของส่วนรวมเป็นใหญ่ ไม่ได้เฉลียวถึงความยุติธรรมในสังคม ข้อนี้จึงพยายามแก้ด้วยวิธีพัฒนาชนบทอย่างจริงจัง”
“การที่คนมี มีมากขึ้นนั้นเป็นของดี แต่การที่คนจน จนลงกว่าก่อนนั้นเป็นของเลวแน่ ที่กล่าวมาเมื่อกี้คือเป็นปัญหาที่สำคัญมาก ปัญหาระยะยาวซึ่งช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจนกว้างขึ้นทุกที”
“บ้านเมืองซึ่งชนบทเจริญขึ้น จะมีความสงบสุขได้ดีกว่า บ้านเมืองอันเต็มไปด้วยชนบทที่ยากจน”
ประเด็นนี้ยังคงเป็นประเด็นสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยจะไม่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนถ้าเราไม่ร่วมกันแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกระจายผลประโยชน์ของการพัฒนาและการเอารัดเอาเปรียบในรูปแบบต่าง ๆ ที่นำไปสู่ความเปราะบางและความขัดแย้งในสังคม นอกจากนี้ ในโลกปัจ จุบันที่พัฒนาการด้านต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเหลื่อมล้ำที่สำคัญไม่ได้มีเฉพาะเรื่องรายได้เท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงความเหลื่อมล้ำในโอกาสในการได้รับความรู้และโอกาสในการยกระดับศักยภาพและความสามารถของคนในสังคมอีกด้วย
ประเด็นสุดท้าย ที่ผมจะขอพูดถึงในมิติของการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค คือ อาจารย์ป๋วยให้ความสำคัญต่อการมองไกลไปในอนาคต ด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นท่านอยากเห็นเศรษฐกิจไทยพัฒนาขึ้น และคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในเรื่องการมองไกลนี้ มีหลายตัวอย่างที่ท่านได้ทำ อาทิเช่น ท่านได้สร้างสถาบันทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งให้กับประเทศหลายองค์กร เพื่อเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ท่านไม่ได้เพียงแต่วางรากฐานให้แต่ละหน่วยงานเข้มแข็งเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจทางานร่วมกัน เพื่อให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศประสานสอดคล้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ และมีพลัง ดั่งที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
“ในการดำเนินนโยบายการเงิน แบงก์ชาติไม่สามารถดำเนินการทุกอย่างได้เพียงลำพัง แต่จำเป็นต้องประสานนโยบายเชิงเศรษฐกิจมหภาคกับหน่วยงานต่างๆ ให้สอดคล้องกัน เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนของประเทศ”
ในเรื่องการวางรากฐานให้แก่หน่วยงานสำคัญ ท่านได้มุ่งสร้างบุคลากรเพื่อรองรับภารกิจของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ ท่านได้เน้นหลายครั้งว่าบุคลากรที่จะมาเป็นกำลังสำคัญของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของประเทศจะมีเฉพาะความรู้อย่างเดียวไม่พอ แต่จะต้องมีจริยธรรมและคุณธรรมด้วย จะเห็นได้จากโอวาทที่ท่านเคยให้ไว้กับนักเรียนทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยในยุคแรกๆ ว่า
“ธนาคารต้องการวิชาความรู้ความสามารถจากท่านทั้งหลาย...และที่สำคัญไปกว่านั้นที่ธนาคารต้องการจากพวกคุณคือ ความสัตย์ซื่อและความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าขาดความซื่อสัตย์สุจริตเชื่อถือกันได้แล้ว ธนาคารนี้ล้มไม่มีทางที่จะทำอะไรได้”
ในวาระครบรอบ 100 ปี ขาตกาลของอาจารย์ป๋วย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมเฉลิมฉลองโดยได้จัดตั้งสถาบันวิจัยป๋วย อึ๊งภากรณ์ เพื่อเป็นการร่วมรำลึก และสนับสนุนเจตนารมณ์ของอาจารย์ป๋วยในการสร้างงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ที่มีคุณภาพเพื่อเป็นพื้นฐานในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นศูนย์กลางที่จะเชื่อมโยงนักวิจัยทั้งภายในธนาคารและนักวิจัยภายนอกเข้าด้วยกัน
ความท้าทายที่สำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดจากประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลาง หรือ Middle Income Trap เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนคนไทย ก็คือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เราจะต้องมองไกล โดยเฉพาะการวางแผนยุทธศาสตร์ของประเทศให้มีความต่อเนื่องและชัดเจน ต้องเน้นการทำงานเชิงรุกร่วมกันระหว่างหน่วยงานเศรษฐกิจ และระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และมีคุณธรรม จริยธรรมเป็นภูมิคุ้มกันทางจิตใจด้วย
สำหรับมิติที่สอง ที่ผมขอกล่าวถึงในวันนี้ คือ มิติที่มองจากฐานะของคนไทยรุ่นหลังที่อยากจะเห็นสังคมไทยก้าวไปสู่สังคมอันพึงปรารถนา ซึ่งในทรรศนะของอาจารย์ป๋วยนั้นท่านเห็นว่า
“สังคมอันพึงปรารถนาที่เราวางเป้าหมายที่จะดำเนินการให้เป็นสังคมที่น่าอยู่นั้นต้องมีหลัก 4 ประการ คือ (1) สมรรถภาพ (2) เสรีภาพ (3) ความยุติธรรม (4) ความเมตตากรุณา การช่วยเหลือ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน”
การที่สังคมไทยจะก้าวไปสู่สังคมที่ปรารถนาได้นั้น จะต้องเริ่มที่แนวทางการดำรงชีวิตของปัจเจกบุคคลแต่ละคน ซึ่งชีวิตของอาจารย์ป๋วยได้แสดงหลักของการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับแนวทางที่จะขับเคลื่อนให้สังคมไทยก้าวไปสู่สังคมอันพึงปรารถนาได้ในอย่างน้อย 2 ประเด็น
ประเด็นแรก คือ การมุ่งหาความสุขจากภายใน วิถีชีวิตของอาจารย์ป๋วยเป็นวิถีชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สะสมความรู้ ความดี แต่ไม่สะสมทรัพย์สมบัติ แม้จะเคยมีผู้มีอำนาจเสนอจะปลูกบ้านหลังใหญ่ให้ท่าน ท่านเลือกที่จะอยู่บ้านหลังเล็ก ผมคิดว่าท่านเป็นตัวอย่างของการสร้างความสุขจากภายใน โดยไม่ติดอยู่กับวัตถุนิยม หรือลาภ ยศ สรรเสริญ การสร้างความสุขจากภายในนี้ เป็นสิ่งที่สังคมไทยยุคปัจจุบันขาดมาก ถ้าคนไทยเห็นความสำคัญของความสุขจากภายในเพิ่มขึ้นแล้ว จะทำให้จิตใจมั่นคง ยึดถือความถูกต้อง ไม่ยึดติดกับความสุขที่มาจากวัตถุ ลาภ ยศ สรรเสริญภายนอก ทำให้คนไทยมีภูมิคุ้มกันในใจต่อสู้กับโลกปัจจุบันที่มีสิ่งเร้าจากภายนอกมากขึ้น ส่งผลให้สังคมไทยจะสามารถก้าวข้ามปัญหาต่าง ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันได้ไม่ยาก เรื่องวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สะท้อนถึงธรรมชาติที่แท้จริงแห่งชีวิตนั้น อาจารย์ป๋วย เคยเขียนไว้ในตอนหนึ่งว่า
“เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ เก็บไว้ให้เมียผมพอใช้ในชีวิตของเธอ ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้เลี้ยงไว้ให้โต แต่ลูกโตแล้วไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมด จะได้ใช้
ประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่น ๆ บ้าง ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและอย่าทำพิธีรีตองในงานศพให้วุ่นวายไป นี่แหละคือความหมายแห่งชีวิต นี่แหละคือการพัฒนาที่จะควรให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของทุกคน”
ประเด็นที่สอง ในมุมมองของคนไทยรุ่นหลัง คือ การที่คนไทยต้องคำนึงถึงสังคมให้มากขึ้น ในยุคปัจจุบันคนไทยมีความสนใจในสังคมรอบตัวน้อยลง โดยเฉพาะคนไทยรุ่นใหม่ หรือคนใน Generation Me ที่คำนึงถึงตัวเองหรือโทรศัพท์มือถึอของตัวเองเป็นสำคัญ
ในประเด็นนี้ ผมเห็นว่า อาจารย์ป๋วยเป็นต้นแบบของการสร้างคุณค่าให้ชีวิตจากการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม และการทำงานด้วยจิตอาสาตั้งแต่สมัยที่ท่านเข้าร่วมเป็นเสรีไทย และต้องทำงานเสี่ยงชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่องจิตอาสานี้เป็นความรับผิดชอบของพวกเราทุกคน ที่ต้องช่วยกันปลูกฝังค่านิยมจิตอาสาให้กับคนรุ่นใหม่ในทุกสถาบัน ตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันทางสังคม จนถึงสถาบันที่ทางาน โดยต้องร่วมกันส่งเสริมให้คนไทยรุ่นใหม่เห็นประโยชน์ของความยั่งยืนที่เกิดขึ้นจากการอยู่ร่วมกัน มองเห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างพฤติกรรมของตนเองกับสังคม ไม่ใช่แข่งขันกันหรือมุ่งหาเฉพาะประโยชน์ส่วนตนในระยะสั้นเท่านั้น ดังคำกล่าวของท่านครั้งหนึ่งว่า
“บุคคลที่มีความสามารถในกิจการค้า หรือทางานใดก็ตาม ทำให้มีรายได้ส่วนตัวมากมาย ..ถ้าไม่ได้ทำให้ทรัพย์นั้นเกิดผลประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้ว ถือไม่ถูกหลักธรรมะทางเศรษฐกิจ ..การที่บุคคลนำเงินนั้นมาลงทุนทำงานให้เกิดผลประโยชนต่อส่วนรวมได้ปฏิบัติตามถูกตามหลักธรรมะแล้ว เพราะได้ช่วยส่งเสริมให้ประเทศมีเศรษฐกิจดีขึ้น โดยบุคคลผู้นั้นไม่ได้รับประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว บุคคลอื่น ๆ ก็ได้รับประโยชน์จากเงินนั้นด้วย...”
นอกจากจะต้องคำนึงถึงสังคม และความเชื่อมโยงระหว่างตนเองกับสังคมแล้ว อาจารย์ป๋วยเน้นเรื่องคุณธรรม โดยเฉพาะคุณธรรมความดีที่เป็นสากล คือ การไม่เบียดเบียนประทุษร้ายต่อกัน ความซื่อสัตย์สุจริต และการบำพ็ญประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยวิถีชีวิตของท่านได้แสดงให้เห็นว่า “ธรรมะ” ได้หยั่งรากลึกในจิตวิญญาณและตัวตนของท่าน และแปรออกมาเป็นพฤติกรรมโดยรวม เป็นธรรมแบบสากล โดยมิได้มุ่งหวังผลตอบแทนใด ๆ แก่ตนเอง
การใช้ชีวิตที่มีคุณธรรมนั้น สามารถนำมาประยุกต์ในการดาเนินชีวิตทางธุรกิจด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่ท่านอาจารย์ป๋วยพูดถึงบ่อย ในช่วงที่ท่านเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คือ บทบาทของธนาคารพาณิชย์ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรม โดยท่านเน้นย้ำว่าธนาคารพาณิชย์ต้องมีธรรมาภิบาลที่สูงกว่าองค์กรอื่น ๆ เพราะใช้เงินฝากและเงินทุนของประชาชนมาทำธุรกิจดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
“นายธนาคารมีกิจรับผิดชอบ ยังระบบเงินเสถียรเพียรเฉลยกับช่วยรัฐพัฒนาอย่าละเลย ทั้งช่วยเชยทำกำไรให้ธนาคารปฏิบัติเคร่งครัดเกรงกฎหมาย ไม่หนีหน่ายสำเร็จทั้งสามสถานใครแพลงพลิกริกเร้นไม่เป็นการ ควรวางสารขอลาออกบอกตรงตรง”
แม้ว่าระบบธนาคารพาณิชย์ไทย และธุรกิจการเงินในวันนี้ได้มีพัฒนาการมาไกลมาก มีความเข้มแข็งและมาตรฐานการกากับดูแลที่สูงขึ้นตามมาตรฐานสากล เรื่องคุณธรรมในการ ทำธุรกิจการเงินยังเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง และยังสามารถพัฒนาได้อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาความเป็นธรรมต่อผู้ใช้บริการทางการเงิน การยึดถือสปิริตของหลักคุณธรรมและธรรมาภิบาลที่สูงกว่าเพียงการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์หรือกฎหมายตลอดไป จนถึงการคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ และการกำกับดูแลของคณะกรรมการธนาคาร ที่พึงส่งเสริมให้การปฏิบัติตามหลักคุณธรรมเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่สำคัญ
คุณธรรมที่อาจารย์ป๋วยพูดถึงสำหรับธนาคารพาณิชย์นี้ ยังสามารถใช้ได้กับแนวคิดการทำธุรกิจสมัยใหม่ที่ต้องเน้นธรรมาภิบาลและความยั่งยืน การที่ธุรกิจหยุดเอาเปรียบผู้บริโภคและสังคมนั้น อาจจะไม่พอ เพราะธุรกิจพึงมีหน้าที่ที่ต้องช่วยยกระดับคุณภาพของสังคมด้วย เป็นที่น่ายินดียิ่งที่สถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้นาแนวคิดของอาจารย์ป๋วยมาตั้งเป็นรางวัลธรรมาภิบาลสำหรับธุรกิจที่มีธรรมาภิบาล ประกอบธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมากับผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เพื่อช่วยกันยกระดับคุณธรรม จริยธรรม ของการประกอบธุรกิจ และยกระดับคุณภาพของสังคมไทย ตามแบบอย่างที่อาจารย์ป๋วย ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากทั้งในและต่างประเทศว่า เป็นบุคคลต้นแบบด้านธรรมาภิบาลได้แสดงไว้
แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายทศวรรษแล้ว แต่หลักคิดและหลักการใช้ชีวิตของอาจารย์ป๋วย ยังเป็นหลักที่สำคัญของการบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน เป็นหลักที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันจากความผันผวนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น และสร้างภูมิคุ้มกันจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่ทำให้ชีวิตของเราทุกข์มากขึ้น และต้องแข่งขันกันมากขึ้นจนลืมนึกถึงคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวในสังคม
มองไปข้างหน้าแม้สังคมไทยอาจจะหาปูชนียบุคคลที่มีมาตรฐานด้านคุณธรรมและจริยธรรม ความสามารถ และความมุ่งมั่นที่จะทำให้เศรษฐกิจและสังคมไทยดีขึ้นแบบอาจารย์ป๋วยได้ยากขึ้น แต่ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าคนไทยรุ่นหลังได้มีโอกาสเรียนรู้และนำเอาหลักคิด หลักการใช้ชีวิตของอาจารย์ป๋วยมาถือปฏิบัติแล้ว เราจะเกิดแรงบันดาลใจ และเห็นแนวทางที่จะช่วยกันทำให้สังคมไทยก้าวไปสู่สังคมอันพึงปรารถนาได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ข่าวเด่น