ประกัน
เอไลฟ์ เปิดแผนธุรกิจปี 59 ตั้งเป้ายอดเบี้ยรับรวมโต10%


 


 เอไลฟ์ เปิดแผนธุรกิจปี 59 รุกขยายการเติบโตต่อเนื่อง ชูสร้างผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบตอบโจทย์บริการวางแผนการเงินเต็มสูบ พร้อมพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เตรียมพร้อมรองรับระบบปฏิบัติการด้านงานขาย-การพัฒนาผลิตภัณฑ์อินเวสเม้นท์ ลิงค์ อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าปี 59 มียอดเบี้ยรับรวม โตขึ้น 10%
 
 
          
นายเชาว์พันธุ์ พันธุ์ทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตในปีที่ผ่านมาว่ามีอัตราการเติบโต 6.7% ซึ่งไม่สูงมากเมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 13.9% โดยมีปัจจัยกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน รวมถึงอัตราค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในปี2559 นั้นคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวดีขึ้นจากปี 2558 โดยมีแรงสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ และจากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังในการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตมากขึ้น รวมถึงปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐและภาคธุรกิจเป็นส่วนสำคัญ ขณะที่ทิศทางแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วงขาลง ประกอบกับการเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย จะส่งผลให้ประชาชนตระหนักในเรื่องของการวางแผนการเงินผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตมากขึ้นอีกด้วย
         
 ทั้งนี้ในส่วนแผนการดำเนินธุรกิจของเอไลฟ์ในปี 2559 นั้นจะยังคงยึดแนวทางการเป็นที่ปรึกษาด้านวางแผนการเงินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นแนวนโยบายที่บริษัทดำเนินมาโดยตลอด โดยในปี 2559 เอไลฟ์ตั้งเป้าหมายการเติบโต 10% โดยเน้นกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งผลิตภัณฑ์ประเภทสะสมทรัพย์ อาทิ 3/2, 12/6 และผลิตภัณฑ์คุ้มครองชีวิตป้องกันโรคร้ายมะเร็ง 5/5 แบบมีเงินคืนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระยะสั้น ระยะกลาง รวมถึงผลิตภัณฑ์อินเวสเมนท์ ลิงค์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าได้มีช่องทางการกระจายการลงทุนได้มากขึ้น ผลตอบแทนที่ได้ ก็ไม่ต้องเสียภาษี อีกทั้งการลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตยังมีความเสี่ยงต่ำ และ เป็นการออมอย่างมีวินัย
          
"ปีนี้เราคงเน้นการออกผลิตภัณฑ์เพื่อมาตอบโจทย์การวางแผนการเงินมากขึ้น ทั้งผลิตภัณฑ์ระยะสั้น กลาง ยาว โดยมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ดีไซน์ออกไปผลตอบแทนที่มอบให้กับลูกค้าดีกว่าในตลาดอย่างแน่นอน ในจังหวะที่ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วงขาลง ก็จะเป็นสิ่งที่จูงใจให้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก อีกทั้งต้องการหาช่องทางการกระจายการลงทุนออกไป หลังจากที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากมีนโยบายลดการคุ้มครองเงินฝากเหลือเพียง 1 ล้านบาท ต่อ 1 บัญชี ต่อ 1 สถาบันการเงิน จากปัจจุบันที่คุ้มครองอยู่ที่ 25 ล้านบาท ต่อ 1 บัญชี ต่อ 1 สถาบันการเงิน ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2559 " นายเชาว์พันธุ์ กล่าว
         
 นอกจากนี้ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการทุ่มงบประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ โดยร่วมกับบริษัทซันการ์ด ไฟแนนซ์เชียล ซิสเตมส์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นผู้นำด้านการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ และการให้บริการด้านเทคโนโลยีระดับโลกในการนำระบบ Compass ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมธุรกิจประกันชีวิต ในด้านการพัฒนาระบบการให้บริการที่ครอบคลุมทั้งระบบการเคลม, อันเดอร์ไรท์, POS รวมถึงการพัฒนาระบบ Customer Service ต่างๆ ที่จะเป็นส่วนช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ ประเภทอินเวสเมนท์ ลิงค์ ซึ่งการพัฒนาระบบในครั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับธุรกิจประกันชีวิตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
          
ขณะเดียวกันบริษัทได้นำเทคโนโลยีโปรแกรมบริหารงานบนโลกออนไลน์ ด้านการขาย และ CRM โปรแกรมSalesforce ผ่านระบบ Cloud โดยพนักงานสามารถใช้ App ผ่านมือถือ ทั้ง IOS และ Android ในการรองรับระบบการทำงานด้านงานขาย (Salesforce) ในการติดตามลูกค้า ให้บริการลูกค้าได้อย่างง่ายดาย เพื่อให้พนักงาน และบริษัทสามารถวิเคราะห์ และ เข้าใจลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถจัดเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างครบถ้วน ซึ่งถือเป็นการให้ความสำคัญด้านการพัฒนาบุคลากร พร้อมสนับสนุนให้พนักงานที่ต้องติดต่อลูกค้า และพนักงานBack office ได้รับความรู้ เรื่องการเงินและการลงทุน เพื่อจะทำให้สามารถสื่อสารความเข้าใจเรื่องการเงินการลงทุนซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับใช้ในการวางแผนการเงินสำหรับตัวเองและครอบครัวได้ จัดให้มีการอบรมสัมมนาหลักสูตร Single Licence แบบเข้มข้น เพื่อสร้างความพร้อมให้กับพนักงานในการสอบ Single licence และมุ่งพัฒนาผลักดันการวางตำแหน่งขององค์กรที่มีความชำนาญด้านวางแผนการเงินอย่างยั่งยืน
         
 สำหรับการขยายฐานลูกค้าของเอไลฟ์ในปีนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับแนวทางการตลาดผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพราะช่องทางดังกล่าวสามารถการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีความสะดวกสบายในการช่วยเพิ่มศักยภาพการสื่อสารระหว่างลูกค้า คู่ค้า และพนักงาน โดยล่าสุดเตรียดจัดทำ LINE@ เพื่อเป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้รับรู้ข้อมูล บริการต่างๆ รวมถึงสิทธิประโยชน์จากเอไลฟ์ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ รวมถึงข้อมูลด้านการวางแผนการเงินที่เป็นประโยชน์ในการเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 20% จากปัจจุบันที่มีฐานลูกค้าผ่านช่องทางเทเลเซลล์ ช่องทางที่ปรึกษาวางแผนการเงินช่องทางประกันชีวิตกลุ่ม รวมทั้งสิ้นกว่า 120,000 ราย
         
 ในส่วนของการลงทุนปีนี้ นายเชาว์พันธุ์ กล่าวว่าบริษัทมีนโยบายลงทุนในทรัพย์สินที่เหมาะสม และสอดคล้องกับภาระผูกพันที่มีอยู่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนเป็นพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ภาครัฐ กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม และ โครงสร้างพื้นฐาน และหุ้นกู้ ทั้งในและต่างประเทศ ในสัดส่วน 70 %เนื่องจากมองว่าการลงทุนประเภทนี้ผลตอบแทนค่อนข้างมั่นคง และคาดการณ์ว่าปีนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวมของบริษัท น่าจะอยู่ทีประมาณไม่น้อยกว่า 5 %
          
อย่างไรก็ตามในส่วนของผลการดำเนินงานของเอไลฟ์ในปี 2558 ที่ผ่านมา เบี้ยใหม่ปีแรก มีอัตราการเติบโต12% โดยมียอดเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 1,250 ล้านบาท และมีสินทรัพย์การลงทุน 4,167 ล้านบาท และให้ผลอัตราตอบแทนการลงทุน สูงถึง 5.93 %
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 17 มี.ค. 2559 เวลา : 15:42:14
22-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 22, 2024, 5:47 pm