หุ้นไอพีโอ บมจ.เจตาแบค(GTB) 240 ล้านหุ้น จองซื้อเกลี้ยง บล.ฟินันเซีย ไซรัส แกนนำในการจัดจำหน่าย เชื่อนักลงทุนเข้าใจธุรกิจที่เติบโตตามทุกอุตสาหกรรม และราคาเหมาะสม เตรียมซื้อขายวันแรก 23 มี.ค.59 มั่นใจหุ้นตัวแรกของปี 2559 ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กระแสตอบรับดี ด้านผู้บริหารย้ำนำเงินระดมทุนขยายธุรกิจ เพิ่มศักยภาพให้เติบโต และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น ส่วน APM ที่ปรึกษาทางการเงินเชื่อหลังเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนฐานะการเงินGTB จะแข็งแกร่งขึ้น สร้างโอกาสเติบโตและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส(FSS) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท เจตาแบค จำกัด (มหาชน) "GTB" เปิดเผยว่า จากการเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ GTB จำนวน 240 ล้านหุ้นในราคา 1.15 บาท/หุ้น เมื่อวันที่ 16-18 มีนาคมที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่านักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ GTB ที่มีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน รวมถึงโอกาสในการเติบโตจากการขยายตลาดไปต่างประเทศ อีกทั้งเมื่อบริษัทนำเงินที่ได้จากการระดมทุนใช้เพิ่มกำลังการผลิตยิ่งเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคต ทั้งนี้ GTB เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) วันที่ 23 มีนาคม 2559 ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุน
ทั้งนี้ หุ้น GTB มีบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย(Co Underwriter)อีก 6 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด(มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
"นับว่าเป็นความสำเร็จในการเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอของ GTB ในครั้งนี้ โดยมีนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก จากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในศักยภาพบริษัทฯ จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้บริหารในธุรกิจเครื่องกำเนิดไอน้ำกว่า 32 ปี รวมถึงศักยภาพในการเติบโตจากการขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบ AEC ขณะที่ราคาขายหุ้นไอพีโอที่ 1.15 บาท/หุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ทำให้มั่นใจว่าการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรกของ GTB จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน"นายสมภพ กล่าว
นายสุชาติ มงคลอารีย์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจตาแบค จำกัด(มหาชน)"GTB" ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องกำเนิดไอน้ำ(Steam Boiler) ระบบเผาไหม้(Combustion System) งานวิศวกรรมพลังงานความร้อน(Thermal Energy Engineering)อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และงานบริการเกี่ยวกับเครื่องกำเนิดไอน้ำ กล่าวว่า รู้สึกยินดีและขอบคุณเป็นอย่างมากที่นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้นไอพีโอ GTB ในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าผู้จองซื้อหุ้นมีความเข้าใจธุรกิจเครื่องกำเนิดไอน้ำที่สามารถเติบโตได้ตามแนวโน้มของทุกอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารที่กำลังขยายตัว ทำให้เกิดความต้องการใช้เครื่องกำเนิดไอน้ำอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับ GTB รวมถึงช่วยเพิ่มความน่าสนใจ และความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ตลอดจนสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากลเพิ่มขึ้น ซึ่งในฐานะผู้บริหารตลอดจนพนักงานทุกคนจะมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของบริษัทให้แข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นตามนโยบายที่บริษัทกำหนดไว้ต่อไป
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน GTB จะนำไปใช้ในการขยายพื้นที่การผลิตและเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานจังหวัดระยอง และโรงงานอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม วิจัยและพัฒนาระบบเผาไหม้ และพัฒนาโปรแกรมคำนวณ การออกแบบทางวิศวกรรม รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานวิศวกรรมออกแบบ ตลอดจนการเปิดสำนักงานขายและบริการในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ และสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯในอนาคต
ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด"APM" ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เจตาแบค"GTB"กล่าวว่า ภายหลังการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ของ GTB จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ด้วยพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคง ด้วยจุดแข็งการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องกำเนิดไอน้ำที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก สามารถผลิตเครื่องกำเนิดไอน้ำได้ตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ และสามารถจำหน่ายได้ในแถบอาเซียน(AEC) อาทิ ประเทศเมียนมาร์ ประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศมาเลเซีย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย ตลอดจนประเทศปากีสถาน และประเทศบังคลาเทศ นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการให้บริการด้านวิศวกรรม และซ่อมบำรุงที่รวดเร็ว ทำให้เกิดความพึงพอใจแก่ลูกค้า จนทำให้ปัจจุบันมีฐานลูกค้ามากกว่า 500 รายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เช่นเดียวกับผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 948.30 ล้านบาท กำไร 68.90 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ในประเทศ 80% และต่างประเทศ 20% และมีแผนจะขยายสัดส่วนต่างประเทศมากขึ้นในอนาคต รวมถึงการพัฒนาการให้บริการ และซ่อมบำรุงให้มีประสิทธิภาพตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งเชื่อว่าในวันที่ซื้อขายวันแรก ในตลาดหลัก ทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ บริษัทจะได้รับการตอบรับที่ดี และจะเป็นอีกหนึ่งบริษัทจดทะเบียนที่สร้างผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจแก่นักลงทุน
ข่าวเด่น