บมจ. ทีพีบีไอ (TPBI) หนึ่งในผู้ประกอบการอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ประเภทถุงพลาสติกชั้นนำระดับโลก เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นลำดับแรกของปี 2559 พร้อมซื้อขาย 24 มี.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,320 ล้านบาท
ดร. สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. ทีพีบีไอ (TPBI) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจ บรรจุภัณฑ์ ในวันที่ 24 มีนาคม 2559 นี้ โดย TPBI เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกครบวงจรรายใหญ่ของประเทศมายาวนานกว่า 30 ปี มีสินค้าหลัก ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว ถุงขยะ ฟิล์มประเภท Multilayer Blown Film บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จำหน่ายให้ลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรมและกลุ่มค้าปลีก ห้างโมเดิร์นเทรดและซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น
TPBI มีทุนชำระแล้ว 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 300 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 100 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 16-18 มีนาคม 2559 ในราคาหุ้นละ 10.80 บาท มีมูลค่าระดมทุนรวม 1,080 ล้านบาท ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,320 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายสมศักดิ์ บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทีพีบีไอ (TPBI) เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้กับบริษัท โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้เพิ่มกำลังการผลิต ขยายธุรกิจในอนาคต และเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตของผู้บริโภค พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับแนวโน้มความต้องการของตลาดโลกและสะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคม
TPBI มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวบริสุทธนะกุล ถือหุ้นรวม 73.91% Deutsche Bank AG, London ถือหุ้น 4% และบริษัท เชียร์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 2% การกำหนดราคา IPO ทำโดยวิธี Book Building คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) 11.87 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิสำหรับปี 2558 หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายต่อประชาชน (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.91 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองตามที่กฎหมายกำหนด
ข่าวเด่น