แนวโน้มดีเลยทีเดียวสำหรับภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ในปีนี้ แม้ว่าช่วงเดือน ม.ค.อาจจะสะดุดไปบ้าง เนื่องจากเพิ่งผ่านเทศกาลส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่มา จึงทำให้ผู้ประกอบการสินค้ายังไม่ออกมาทำกิจกรรมการตลาดอะไรมากนัก แต่หลังจากก้าวเข้าสู่เดือนก.พ.ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ก็เริ่มมีความคึกคักมากขึ้น เห็นได้จากการออกมาเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการสินค้าต่างๆก็ออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค รถยนต์ ธุรกิจโทรคมนาคม หรือห้างค้าปลีก ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนต์เริ่มมีรายรับที่ดีขึ้น และออกมาประกาศแผนเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สิ้นปีมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2559 ที่มีการเติบโตสูงขึ้นถึง 42% แบ่งเป็นรายได้ที่มาจากภาครัฐบาล 25% และเอกชน 75% ในจำนวนรายได้ที่เติบโตดังกล่าวเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่มธุรกิจ ครีเอทีฟ โซลูชั่นส์ (Creative Solutions) งานบริการด้านการตลาดภายใต้ความคิดสร้างสรรค์ 2. กลุ่มธุรกิจมาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิส (Marketing Services) งานบริการส่งเสริมด้านการตลาด 3. กลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ เอ็กซ์พีเรียนส์ (Lifestyle Experience) กลุ่มธุรกิจที่สร้างประสบการณ์ใหม่ และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั้งในด้านบันเทิง และในชีวิตประจำวัน และ 4. กลุ่มธุรกิจอาเซียนวิงส์ (ASEAN Wings) งานด้านการตลาดเชิงสร้างสรรค์ในภูมิภาคอาเซียน กับการขยายธุรกิจออกสู่กลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียน
จากความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ อินเด็กซ์ ออกมาประกาศแผนเชิงรุก เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น รวมถึงหาช่องทางสร้างโอกาสทางธุรกิจ ในตลาดใหม่ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อให้ผลประกอบการของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มครีเอทีฟโซลูชั่นส์ ที่มีการเติบโตสูงถึง 28% ซึ่งเป็นผลมาจากงานด้านอีเว้นท์ของอินเด็กซ์ฯที่มีความแข็งแรง
นอกจากนี้ ในกลุ่มของธุรกิจมิวเซียมแอนด์เอ็กซิบิชั่น (Museum & Exhibition) ก็ได้ผลการตอบรับที่ดีเช่นกัน เห็นได้จากงานที่มีอยู่ในมือขณะนี้ที่รอการรับรู้รายได้(Backlog) ยาวไปตลอดทั้งปีต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า แบ่งออกเป็นลูกค้าเก่า 60% และลูกค้าใหม่ 40% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมประเภทยานยนต์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ประกันภัย การก่อสร้าง สินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร และเครื่องดื่ม รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
นายเกรียงไกร กล่าวว่า อีหนึ่งกลยุทธ์ที่บริษัทจะนำมาใช้ในปีนี้ คือ การส่งไอซีเว็กซ์ (ICVex) ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการธุรกิจเทรดแฟร์ รวมถึงงานด้านมิวเซียม และเอ็กซิบิชั่น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนทำธุรกิจในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน เพื่อหาโอกาสทางการตลาดเพิ่มเติม และสร้างสีสันให้กับอุตสาหกรรมอีเว้นท์เมืองไทย ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่องคาดว่าสิ้นปีจพมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ 1,800 ล้านบาท
ด้านนายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดปี 2559 นี้บริษัทจะดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่วางไว้ 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.รักษาความเป็นผู้นำด้านธุรกิจอีเว้นท์ เอเจนซี่ อันดับหนึ่งของประเทศ ด้วยการพัฒนาขีดความสามารถ และศักยภาพของบุคคลากร ให้มีไอเดียสร้างสรรค์ ใหม่ๆ เพิ่มเติมให้แก่ลูกค้าตลอดจนนำเทคนิคที่ทันสมัยมาใช้ในธุรกิจ ทั้งในแง่ของการเป็นผู้บริหารการจัดงาน (Event Organizer) และในกลุ่มของงานด้านบริการระบบภาพ แสงและเสียง แบบครบวงจร ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทฯ โดยผลงานที่โดดเด่น คือ ซัพพลายด้านระบบภาพแสงและเสียงในการแข่งขันมวยไทยนานาชาติ THAI FIGHT,คอนเสริ์ตในกลุ่มของ บีอีซี เทโร (BEC TERO) ทั้งศิลปินไทย และต่างประเทศ เป็นต้น
กลยุทธ์ที่ 2 คือ การต่อยอดธุรกิจให้มีความหลากหลาย เพื่อสร้างรายได้ประจำ ให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ จะเปิดตัว “หิมพานต์ อวตาร” ซึ่งเป็นการแสดงวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย ผสานเทคนิคแสงสีเสียง นับว่าเป็น Cultural Walking Theme Park แห่งแรกในประเทศไทย โดยจะตั้งอยู่ที่ Show DC เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แห่งใหม่ ย่านพระราม9 นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจสวนสนุก “อิเมจิเนีย เพลย์แลนด์” (Imaginia Playland) ที่เที่ยวสำหรับเด็กตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม ที่เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่ผ่านมา
สำหรับกลยุทธ์ ที่ 3 คือ การขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอาเซียน ซึ่งจะเน้นที่กลุ่มประเทศ CLMV (ประเทศกัมพูชา,ลาว,เมียนมาร์ และเวียดนาม) โดยรูปแบบจะพิจารณาจากเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เป็นหลัก แต่จะเป็นในลักษณะของงานกิจกรรมการตลาด (Event Marketing) มากกว่า ซึ่งจะรุกตลาดไปพร้อมกับแบรนด์ของไทยที่มีแผนจะขยายงานในต่างประเทศ ทั้งนี้ผลงานที่ผ่านมาในตลาดอาเซียน ได้แก่ แคมเปญ SEA Games Lucky Cards ที่ประเทศพม่า ,จัดแสดงโชว์แสงเสียง ที่ Angkor Wat ประเทศกัมพูชา และจัดงานเปิดโรงงานโคคา-โคล่า ที่ประเทศลาว เป็นต้น
หลังจากปลุก 3 กยุทธ์ขึ้นมาทำตลาด ซีเอ็มโอ คาดว่าสิ้นปี 2559 จะมีรายได้อยู่ที่ 1,400 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตเป็น 2,000 ล้านบาท ใน ปี 2561 แบ่งเป็นอีเวนท์ 70% และธุรกิจใหม่ 30% ขณะเดียวกันในช่วงเวลาดังกล่าว ซีเอ็มโอ ยังมีแผนที่จะปรับสัดส่วนฐานลูกค้าภาครัฐเหลือเพียง 20% และเอกชน 80% เนื่องจากประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองค่อนข้างบ่อย การปรับแผนหันเพิ่งรายได้จากภาคเอกชนควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศน่าจะมีเสถียรภาพมากกว่า
จากเป้าหมายรายได้ของผู้ประกอบการในธุรกิจอีเวนต์ที่วางไว้กันค่อนข้างสูงหากไม่มีปัจจัยลบมาสะดุดภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อ รวมไปถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจคาดการณ์กันว่า ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ในสิ้นปีน่าจะมีอัตราการเติบโตได้ที่ประมาณ 5% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 12,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 12,100 ล้านบาท
ข่าวเด่น