ถือเป็นสินค้าที่มีการแข่งขันรุนแรงมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา สำหรับตลาดรองเท้าผ้าใบ แม้ว่าปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ตลาดรองเท้าผ้าใบก็ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการศึกษาเล่าเรียน จึงทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองยังคงต้องควักเงินออกจากกระเป๋า เพื่อจับจ่ายซื้อสินค้าประเภทนี้ให้กับบุตรหลาน
สำหรับกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการตลาดรองเท้าผ้าใบเลือกนำมาใช้ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงหน้าขายสินค้ายังคงเน้นไปที่การลดราคาสินค้า บางรายก็มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ราคาถูกกว่ารุ่นเดิมเข้ามาทำตลาด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ขณะที่บางรายก็เลือกที่จะขายคุณภาพไม่เน้นลดราคา
จากการแข่งขันของตลาดรองเท้าผ้าใบที่รุนแรงดังกล่าว ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดรองเท้าผ้าใบในปีนี้น่าจะมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 5,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 2-3% แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบ 60% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 40% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท เป็นรองเท้านักเรียนทั่วไป
นายจักรพล จันทวิมล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรองเท้าผ้าใบแบรนด์ “นันยาง” กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนในช่วงเปิดเทอมปีนี้มีความคึกคักและมีการแข่งขันที่รุนแรงมากกว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปีนี้ผู้บริโภคซื้อสินค้าเร็วกว่าปีก่อนที่มักจะนิยมซื้อสินค้าใกล้ช่วงเปิดเทอม จึงทำให้ปีนี้ภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนเริ่มมีความคึกคักตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่าปีนี้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่ค่อยดี แต่เนื่องจากรองเท้านักเรียนเป็นสินค้าจำเป็นที่หลีกเลี่องไม่ได้สำหรับการเรียนของบุตรหลาน จึงทำให้ตลาดรองเท้านักเรียนในปีนี้มีความคึกคักมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งตลาดรองเท้านักเรียนที่มีการแข่งขันมากเป็นพิเศษในปีนี้คือ รองเท้าผ้าใบ
ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการถือครองรองเท้าผ้าใบยังอยู่ในระดับต่ำหรือมีอัตราเฉลี่ยถือครองอยู่ที่ประมาณ 1.3 คู่ต่อคนต่อปีเท่านั้น ซึ่งจากอัตราการถือครองที่ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ตลาดรองเท้าผ้าใบยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก โดยในส่วนของนันยาง ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดรองเท้าผ้าใบอยู่ที่ประมาณ 40% ครองความเป็นผู้นำตลาด
สำหรับแผนการทำตลาดของนันยางในปีนี้ ยังคงเน้นไปที่การออกสินค้าใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มจากเดิมที่มีเพียงรุ่นเบสิก 205 เอส พื้นเขียว เบอร์ 28-36 ราคา 305 บาทเข้าทำตลาดท่านั้น โดยล่าสุดนันยาง ได้มีการเปิดตัวรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาด คือ รุ่นบิ๊กฟุต เบอร์ 46-49 ราคา 355 บาท และรองเท้ารุ่นแฮฟฟันสำหรับเด็ก เบอร์ 28-33 ราคา 285 บาท เนื่องจากนันยาง ต้องการขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น
นายจักรพล กล่าวว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเปิดตัวรองเท้าผ้าใบผู้หญิง ซูการ์ เบอร์ 35-41 ราคา 329 บาทเข้าทำตลาด ซึ่งได้ผลการตอบรับดีมาก ทำให้สินค้าขาดตลาด โดยขณะนี้มียอดขายสินค้ารุ่นดังกล่าวไปได้กว่า 1 แสนคู่ คาดว่าสิ้นปีจะมียอดขายอยู่ที่ 3 แสนคู่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทมีการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ผ่านของเซ็นทรัลออนไลน์ด้วย โดยปัจจุบันในช่องทางดังกล่าวมียอดขายไปแล้วกว่า 5,000 คู่
อย่างไรก็ดี ช่องทางการจำหน่ายหลักของรองเท้านันยาง ยังคงมุ่งเน้นเทรดดิชันนัลเทรดหรือร้านค้าทั่วไปประมาณ 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นการขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด โดยปัจจุบันมีเอเย่นต์จำหน่ายสินค้าให้กว่า 50 ายทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีหน่วยรถขายอีก 20 คัน มีหน่วยพิเศษอีก 10 หน่วย และผ่านห้างค้าปลีก ส่งผลให้ปัจจุบันนันยางมีเอาท์เล็ตจำหน่ายสินค้ามากกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ
หลังจากนันยาง เดินหน้าทำตลาดรองเท้าผ้าใบอย่างต่อเนื่อง สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นรุ่นเบสิก 70% รุ่นแฮฟฟัน 20% และรุ่นซูก้าร์ 10% (จากเดิมตั้งเป้าไว้ 5%) เนื่องจากตลอดทั้งปีได้มีการเตรียมงบการตลาดรวม 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 10% ใช้ทำกิจกรรมส่งเสริมการขายตลาดทั้งปี เพื่อให้สิ้นปีมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 8%
ขณะที่นันยางกำลังมุ่งมั่นเพิ่มยอดขายสินค้าทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ด้วยการขยายช่องทางการทำตลาดเพิ่ม เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดรองเท้าผ้าใบ ในส่วนของ เบรกเกอร์เอง ก็เล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาทำตลาดรองเท้าผ้าใบเช่นกัน ด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดรองเท้าผ้าใบ 3,000 ล้านบาท
นายสมฤกษ์ วงศ์วีระนนท์ชัย กรรมการบริหาร บริษัท เอส.ซี.เอส สปอร์ตสแวร์ จำกัด ผู้ผลิตรองเท้านักเรียน “เบรกเกอร์”, “ป๊อปทีน” และ “แคทช่า” กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ซึ่งรองเท้าที่บริษัทได้เลือกนำมาเปิดตัวในครั้งนี้ คือ รองเท้าผ้าใบ “เบรกเกอร์ ซูเปอร์ แบล็ก” และ “ซูเปอร์ไวท์” เนื่องจากบริษัทต้องการกระตุ้นยอดขายในช่วงก่อนเปิดเทอม ซึ่งถือเป็นหน้าขายสินค้า เพราะแบ็คทูสคูลเป็นช่วงขายที่มากกว่า 70% ของรายได้ทั้งปี
สำหรับราคาสินค้ารุ่นใหม่ที่ได้เปิดตัวเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ เบรกเกอร์ ได้วางราคาขายรองเท้าผ้าใบไว้ที่ 395 บาท สูงกว่าจากรุ่นทั่วไปที่ขายราคาประมาณ 300 บาท เนื่องจากต้องการจับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นผู้ชาย อายุ 15 ปีขึ้นไป ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย ครอบคลุมการใช้งานได้มากกว่าแค่ใส่ไปโรงเรียน จึงทำให้ เบรกเกอร์ วางราคาขายไว้สูงกว่ารุ่นทั่วไปที่วางขายในท้องตลาด ซึ่งหลังจากเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาด เบรกเกอร์ มั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ปัจจัยที่ทำให้ เบรกเกอร์ มั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดี คือ ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดตัวรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาด บริษัท เอส.ซี.เอส สปอร์ตสแวร์ ได้มีการใช้งบประมาณการวิจัยและพัฒนากว่า 4 ล้านบาท ทำการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สินค้าใหม่ที่เปิดตัวเข้ามาทำตลาดตรงกับความต้องการมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมงบกว่า 30 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมทางการตลาดหลาหลายรูปแบบ เช่น กิจกรรมเพื่อส่งเสริมการใช้เวลาว่างของวัยรุ่นคือกิจกรรม"เบรกเกอร์บอย ขาสั้น... มันส์ให้สุด" ซึ่งงานนี้ได้เจ้าพ่อแร็ปเปอร์มือหนึ่งของเมืองไทย โจอี้ บอย มาเป็นแม่ทัพนำทีมเด็กเบรกเกอร์บอยทั้ง 10 คนจากหลายสถาบันชื่อดังระดับประเทศมาทำกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคมร่วมกัน เช่น เข้าร่วมโครงการปลูกป่าที่ จ.น่าน และกิจกรรมการสร้างความสุขให้กับน้องๆ ที่ด้อยโอกาสทางสังคม
ในด้านของช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบันเบรกเกอร์ มีช่องทางการจำหน่าย 3 ช่องทาง คือ ผ่านทางห้างสรรพสินค้า 25%, ดีลเลอร์ 55% ช่องทางออนไลน์ 18% และอื่นๆ 2% ซึ่งหลังจากเปิดตัวรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่เข้าทำตลาด เบรกเกอร์ มั่นใจว่า จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดรองเท้าผ้าใบเป็น 35% จากเดิม 30% และเป็นที่ 2 ในตลาดรองเท้าผ้าใบรองจาก นันยาง ได้อย่างแน่นอน โดยในส่วนของรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 1.5 แสนคู่ในช่วงแบ็คทูสคูลนี้ หรือรวม 2 แสนคู่ภายในสิ้นปี
การออกมาเปิดตัวรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่เข้าทำตลาดกันอย่างคึกคักในปีนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการกระตุ้นตลาดรองเท้าผ้าใบให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนใครจะได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มแค่ไหน คงต้องรอผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสิน
ข่าวเด่น