ยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย เพราะล่าสุดสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้ออกมาปรับเป้าหมายการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยจากเดิมคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 3% ปรับลดลงเหลือ 2.8% เนื่องจากค้าปลีกในหลายเซ็กเมนท์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ต และคอนวีเนียนสโตร์ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหลักอยู่ในระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยลบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้
อีกเหตุผลที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยตัดสินใจปรับเป้าอุตสาหกรรมค้าปลีกลดลง คือ ภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยในช่วง ไตรมาสแรกที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเพียง 2.6% เท่านั้น ซึ่งจากความถดถอยที่เกิดขึ้นของภาคธุรกิจค้าปลีก ส่งผลให้สมาคมผู้ค้าปลีกไทยต้องเร่งออกมากระทุ้งให้หน่วยงานภาครัฐผลักดัน Shopping Tourism หรือนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงช้อปปิ้งอย่างจริงจัง เพื่อเป็นกลไกในขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวเดินไปในภาวะที่กำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้น
น.ส.จริยา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่ธุรกิจค้าปลีกไทยประสบปัญหาการเติบโตที่ชะลอตัวจนถึงขั้นติดลบ เนื่องจากตัวเลขดัชนีการค้าปลีกของไทยมีอัตราการเติบโตถดถอยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา โดย ปี 2545-2555 ภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี แต่หลังจากปี 2555 – 2557 ที่ผ่านมาภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าผลีกไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยลดลง เห็นได้จากการเติบโตที่ติดลบ 3% ต่อปี และล่าสุดในปี 2558 ภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยก็ยังมี อัตราการเติบโตก็ยังติดลบต่อเนื่อง เพราะทิศทางการผลักดันเศรษฐกิจมุ่งไปยังการปรับโครงสร้างและการส่งออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศจึงไม่เข้าเป้าหมาย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้เคยคาดการณ์ไว้ปี 2559 นี้ สถานการณ์ค้าปลีกของไทยน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าดัชนีค้าปลีกตลอดทั้งปี 2558 จะเติบโตต่ำกว่า 3% เนื่องจากช่วงปลายปี 2558 ภาพรวมเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นเช่นนั้น ดัชนีค้าปลีกในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมายังคงอยู่ในภาวะถดถอยลงหรือมีอัตราการ เติบโตเหลือเพียง 2.6% เท่านั้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการค้าปลีกยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยเม็ดเงินการลงทุนระหว่างปี 2558 -2560 อยู่ที่ประมาณ 130,200 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละประมาณ 43,400 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูงมากและสูงกว่าการก่อสร้าง BTS (123,300 ล้านบาท) หรือการประมูลคลื่น 4G 900 MHz (76,000 ล้านบาท) โดยการลงทุนเหล่านี้ก่อให้เกิดการจ้างงานโดยตรงกว่า 210,000 คนต่อปี และการจ้างงานทางอ้อมอีกกว่า 150,000 คน
ทั้งนี้ จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยมีความกังวลว่า ถ้าภาคค้าปลีกไม่สามารถรักษาระดับการลงทุนเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากยอดใช้จ่ายของผู้บริโภคถดถอยมาต่อเนื่อง 4 ปี อาจทำให้เม็ดเงินลงทุนอาจถดถอยตามไปด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นภาพรวมธุรกิจค้าปลีกของไทยก็จะยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว
น.ส.จริยา กล่าวต่อว่า การที่การบริโภคภาคค้าปลีกค้าส่ง (Retail Consumption) อ่อนแอลงมาตลอด สาเหตุหลัก คือ กำลังซื้อกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับกลางลงล่าง ที่ต้องอาศัยรายได้จากผลผลิตภาคเกษตร ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อที่อ่อนแออยู่ และรอการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐผ่านกองทุนหมู่บ้านต่างๆ ปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นในหมวดสินค้าไม่คงทน (Nondurable Goods) เช่น เครื่องดื่ม และอาหาร แทบจะไม่มีการเติบโตเลย
ขณะที่ผู้บริโภคระดับกลางขึ้นบนที่ยังมีกำลังซื้อที่แข็งแรงอยู่ รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กลับไม่ส่งผลให้มูลค่าการบริโภคหมวดสินค้ากึ่งคงทน (Semi-Durable Goods) เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องหนัง รองเท้า นาฬิกา เติบโตแต่อย่างไร ในทางกลับกันกลับเติบโตถดถอยลง ทั้งที่สินค้าหมวดนี้เคยมีการเติบโตเฉลี่ยที่ 8-12% ในช่วง 10 ปี่ผ่านมา
ส่วนผลกระทบต่อภาครวมค้าปลีกในแง่การท่องเที่ยวต่างประเทศนั้น พบว่าคนไทยในระดับรายได้สูงถึงปานกลางออกเดินทางไปช้อปปิ้งที่ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องด้วยอัตรา 9% ต่อปี (ตัวเลขของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) โดยในปี 2015 คนไทยใช้จ่ายในต่างประเทศ สูงถึง 170,032 ล้านบาท และในจำนวนนี้เป็นการจับจ่ายสินค้าแบรนด์เนมที่มีจำหน่ายในประเทศไทยสูงถึง 50,840 ล้านบาท
จากข้อมูลมูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย 9 หมวดจาก 17 หมวด ตามนิยามของของกรมศุลกากร ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2015 มีมูลค่าสูงถึง 114,821 ล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณาในมิติของภาษีนำเข้า พบว่า มูลค่าสินค้านำเข้าที่เสียภาษีนำเข้าตามพิกัดศุลกากร (duty paid) มีมูลค่า 41,307 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าสินค้านำเข้าได้รับการยกเว้นภาษีตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ( duty free) มีมูลค่าสูงถึง 73,513 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า มูลค่าสินค้านำเข้า Duty paid ถึงร้อยละ 78
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความได้เปรียบจากกฏหมายด้วยการยกเว้นภาษีนำเข้า ได้ทำลายโครงสร้างการค้าปลีกในเมืองอย่างรุนแรง มูลค่าสินค้าจำหน่ายใน duty free ไม่กี่แห่งมีมูลค่าสูงกว่าร้านค้าในเมืองหลายพันร้านค้าถึงเกือบเท่าตัว
ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทย แม้ว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยอัตรา 12% ต่อปี จนอยู่ที่ระดับ 29.5 ล้านคนในปี 2558 แต่มูลค่าการบริโภคสินค้าจากร้านค้าในประเทศกลับไม่ได้รับผลประโยชน์เท่าที่ควร เนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มุ่งเน้นไปที่ Shopping Tourism สินค้าแบรนด์เนมมีราคาสูงกว่าต่างประเทศ ราว 20-30% และ นักท่องเที่ยวนิยมที่จะซื้อสินค้าที่ร้านค้าปลอดอากรเป็นหลัก เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า
อีกกรณีที่มีผลกระทบต่อภาพรวมค้าปลีก คือ “ตลาดของหิ้ว” หรือ “grey market” ปัจจุบันตลาดกลุ่มนี้ใหญ่มาก จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีผู้ประกอบการ ที่ขายสินค้าออนไลน์ รวมถึงผ่านช่องทาง social media ถึง 1,005,000 ราย แต่มีเพียง 2% เท่านั้น ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง ผู้ประกอบการสินค้าแบรนด์เนมบางรายได้ประมาณว่า มูลค่าสินค้านอกระบบ หรือ grey market ใหญ่พอๆกับตลาดสินค้าในระบบ ซึ่งสินค้านอกระบบส่วนนี้ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อรัฐและควบคุมได้ยาก
จากผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้น ส่งผลให้สมาคมผู้ค้าปลีกไทยต้องเร่งออกมากระตุ้นรัฐ ด้วยการนำเสนอ 5 มาตรการอุ้มภาคธุรกิจ ประกอบด้วย 1. ภาครัฐควรต้องผลักดัน Shopping Tourism หรือนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงช้อปปิ้ง อย่างจริงจัง เพื่อเป็นกลไกในขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวเดินไป 2. รัฐต้องหามาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยมุ่งไปยังผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งกำลังซื้อยังค่อนข้างแข็งแรง อย่าง มาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” เพื่อให้เม็ดเงินในการจับจ่ายสู่ภูมิภาคและจังหวัดต่างๆ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่ 15,000 บาท แต่ควรพิจารณาให้สามารถจับจ่ายได้เกิน 15,000 บาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายให้เพิ่มขึ้น
มาตรการที่ 3. การเสนอ โครงการ “Thailand Brand Sale” โดยร่วมกับผู้ประกอบการค้าปลีกจัดลดราคาสินค้าที่หมดฤดูกาล ประกอบด้วย สินค้าแฟชั่นแบรนด์ไทย แบรนด์ต่างประเทศ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้า OTOP และพิจารณาลดภาษีนำเข้าบางส่วน พร้อมกัน 4. พิจารณาการใช้มาตรการทางภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่นักนักท่องเที่ยวใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น และ 5. ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมและแหล่งช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้เสนอให้ภาครัฐ ผลักดันนโยบาย Duty Free City เพื่อให้ประเทศไทยเป็น Shopping Destination ของนักท่องเที่ยวอย่างแท้จริง และสร้างให้การช้อปปิ้งเป็นหนึ่งในแม่เหล็กสำคัญที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย
ข่าวเด่น