ผลการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก โดยได้รับการยืนยันจากผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ ที่ยอมรับว่า การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลงในช่วงที่ผ่านมา อาจจะไม่ช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รวมไปถึงการขยายตัวของสินเชื่อได้มากนัก ส่วนหนึ่งเพราะประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้คนที่พึ่งรายได้จากดอกเบี้ยผลตอบแทนด้านเงินฝากอาจจะลดลง แต่อย่างไรก็ดีการลดดอกเบี้ยมีข้อดีในการช่วยลดภาระของคนที่มีหนี้
.jpg)
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ 11 พ.ค.นี้ น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ย โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทย ระบุว่า การส่งออกไทยเริ่มมีลุ้นส่งสัญญาณฟื้นตัว แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ในขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่าการประชุม กนง. ในวันที่ 11 พ.ค.นี้ จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50%
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ก็คาดว่า กนง.จะตัดสินใจ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอประเมินภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่เริ่มมีสัญญาณปรับดีขึ้นว่าจะมีความยั่งยืนเพียงใด โดยมีเหตุผลสนับสนุนคือ ประการแรก ในช่วงที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศเพิ่มเติมหลายมาตรการ ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
ประการที่สอง ต้นทุนทางการเงินของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำมากแล้ว ซึ่งน่าจะเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุนและบริโภคของภาคธุรกิจและครัวเรือน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (ต้นเดือนพฤษภาคม) อายุ 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 1.80% ซึ่งต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ 1.82% อันบ่งชี้ถึงต้นทุนในการระดมทุนผ่านตลาดเงินของไทยที่อยู่ในระดับต่ำมาก
ประการที่สาม พัฒนาการของเศรษฐกิจจีนที่ทยอยปรับดีขึ้นคงช่วยลดความเสี่ยงต่อภาคการส่งออกได้ระดับหนึ่ง โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 1/2559 ออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายกังวล อีกทั้งเครื่องชี้ภาคการผลิตของจีน อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของทางการที่สามารถปรับตัวอยู่เหนือระดับ 50 ติดต่อกัน 2 เดือน รวมถึงการส่งออกของจีนที่เริ่มกลับมาขยายตัว
ขณะที่ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระ คาดว่า การประชุมจะมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันถือว่า อยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว และขณะนี้นโยบายการคลัง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศออกมา ก็ยังดำเนินการได้ดี
แต่มองว่าเศรษฐกิจไทยขณะนี้ยังคงทรงตัว เนื่องจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตร ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเร่งเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย พร้อมวางรากฐานระยะยาว โดยไม่เน้นในเรื่องคะแนนนิยมทางการเมือง หรืออัตราในการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มากจนเกินไป
ข่าวเด่น