เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส สำหรับเครือเบทาโกร ด้วยการหันมาโครงสร้างขององค์กรครั้งใหญ่ เพื่อให้หลังบ้านมีความแข็งแกร่งและเดินไปสู้เป้าหมายที่วางไว้ นั่นก็คือ การนำพาองค์กรก้าวสู่รายได้ 1 แสนล้านบาท ในสิ้นปี 2559 นี้ ซึ่งกลยุทธ์ที่เครือเบทาโกร นำมาใช้ คือ การปรับลดหน่วยการทำงานจาก 4 ส่วน เหลือเพียง 2 ส่วน คือ ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และธุรกิจอาหาร เพื่อให้ธุรกิจมีความคล่องตัวที่จะเดินต่อไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเชื่อมโยงระบบงานต่างๆ ขององค์กรเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันยังได้มีการตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหาร เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของสินค้าใหม่และบรรจุภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาดและลูกค้า นอกจากนี้ ยังจะมีการพัฒนาองค์กรความรู้ การให้ข้อมูลเชิงเทคนิค ตลอดจนการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารควบคู่กันไปอีกด้วย
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้เครือเบทาโกรมีแผนที่จะใช้งบลงทุนในประเทศสูงถึง 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งจะใช้อยู่ที่ประมาณ 3,000-3,500 ล้านบาท เนื่องจากเครือเบทาโกรมองเห็นศักยภาพของการขยายธุรกิจในประเทศว่ายังมีโอกาสให้สร้างรายได้ให้อีกมาก แม้ว่าปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่หากมีการเตรียมความพร้อมไม่ว่าจะเป็นในด้านของบุคลากร สินค้า ช่องทางจำหน่าย และบริการที่ดีเยี่ยม ตลาดในประเทศก็ยังถือเป็นตลาดที่ใหญ่ เนื่องจากธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวัน
ในส่วนของงบลงทุนก้อนดังกล่าวหลักๆ เครือเบทาโกร ก็จะใช้ไปกับการลงทุนอาคารเบทาโกร 2 ,ฟู้ดคอมเพล็กซ์ ,ศูนย์กระจายสินค้า และครัวกลาง เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต เนื่องจากแผนการดำเนินธุรกิจนับจากนี้เครือเบทาโกร มีแผนที่จะนำสินค้าเข้าไปขยายตลาดในช่องทางห้างค้าปลีกให้มากขึ้น
ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะขยายร้านค้าปลีกในเครือทั้ง 2 แบรนด์ คือ ร้านเบทาโกรช็อป เน้นจำหน่ายสินค้าแบบขายส่งให้กับร้านอาหารและโรงแรม ปัจจุบันมีจำนวนร้านเปิดให้บริการ 150 สาขา ปีนี้มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 20 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาจะใช้พื้นที่ประมาณ 32-48 ตร.ม. ใช้งบลงทุนเฉลี่ยต่อสาขาที่ประมาณ 5-8 ล้านบาท อีกหนึ่งร้านค้าปลีก คือ ร้านเบทาโกรเดลี่ ลักษณะของร้านจะเป็นร้านสะดวกซื้อหรือคอนวีเนียนสโตร์ ปัจจุบันมีจำนวนร้านเปิดให้บริการที่ 4 สาขา ปีนี้มีแผนที่ะเพิ่มอีกประมาณ 6 สาขา เพื่อให้สิ้นปีมีจำนวนร้านเบทาโกรเดลี่เปิดให้บริการครบ 4 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาจะใช้พื้นที่เปิดร้านประมาณ 32-38 ตร.ม. ใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 2-2.5 ล้านบาท
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการตลาดประเทศแล้ว ตลาดต่างประเทศเครือเบทาโกรก็ให้ความสำคัญเช่นกัน ด้วยการหันเข้าไปขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ลาว และกัมพูชามากขึ้น เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีศักยภาพ มีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย มีความคุ้มเคยในภาษาที่สื่อสารกัน และที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือ การมีพรมแดนที่ติดกัน สามารถทำให้การขนส่งสินค้าทำได้ง่ายกว่าการขนส่งสินค้าไปยังประเทศที่อยู่ห่างไกลกัน
สำหรับธุรกิจที่เครือเบทาโกร จะเข้าไปขยายในปีนี้จะมีทั้งในส่วนของการสร้างโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเพาะพันธุ์พ่อแม่ไก่ รวมไปถึงการเปิดให้บริการร้านเบทาโกรช็อป โดยในส่วนของประเทศกัมพูชชาเบื้องต้นมีแผนที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในส่วนของโรงงานอาหารสัตว์ เพื่อให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 10,000 ตัวต่อเดือนจากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 7,000 ตันต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะสร้างโรงงานพ่อแม่พันธุ์ไก่ รวมไปถึงการเปิดให้บริการร้านเบทาโกรช็อป
ส่วนประเทศลาวมีแผนที่จะเข้าไปสร้าวโรงงานผลิตอาหารสัตว์ เพราะหลังจากได้เข้าไปร่วมพูดคุยกับพันธมิตรเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา พบว่า ประเทศลาวยังมีโอกาสให้เข้าไปขยายธุรกิจได้อีกมาก แม้ว่าประชากรในประเทศจะมีน้อยกว่าประเทศไทย เบื้องต้นเตรียมแบ่งพื้นที่การก่อสร้างออกเป็น 2 เฟส คือ เฟสที่ 1 ผลิตสินค้าได้ประมาณ 6,000 ตันต่อเดือน และเฟสที่ 2 ก็มีกำลังการผลิตที่ 6,000 ตันเช่นกัน ส่วนประเทศพม่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงงานพ่อแม่พันธุ์อาหารเนื้อ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าไปตั้งสำนักงานไว้รองรับธุรกิจ ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจของ 3 ประเทศดังกล่าวในปีนี้เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
นายณรงค์ชัย ศรีสันติแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจอาหาร เครือเบทาโกร กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจอาหารของบริษัทในปีนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และสามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย โดยในปีนี้แบรนด์เบทาโกร มีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มไส้กรอกไขมันต่ำ เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในกลุ่ม Reduce ,Plus และFree ready to Eat อีกไม่ต่ำกว่า 100 รายการเข้ามาทำตลาด ขณะเดียวกันก็จะมีการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายควบคู่ไปด้วย โดยการมุ่งขยายแผงอนามัยเนื้อหมู เนื้อไก่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมกับเพิ่มการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโมเดิร์นเทรด ฟู้ดเซอร์วิส หรือร้านค้าทั่วไป
นายณรงค์ชัย กล่าวว่า ในส่วนของแบรนด์ S-Pure จะมีการขยายช่องทางการจำหน่ายนำร่องอาหารสุขภาพสู่โรงพยาบาล โดยเริ่มแห่งแรกที่ศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท หลังจากนั้นจะเริ่มขยายการขายแบรนด์สินค้า S-Pure ไปยังภูมิภาคในกลุ่มฟู้ดเซอร์วิส เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ในเมืองใหญ่ๆ อย่าง สมุย หาดใหญ่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และปากช่อง รวมไปถึงการนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในร้านเบทาโกรช็อป ทั่วประเทศ ส่วนตลาดส่งออก บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าโอนแบรนด์ ทั้ง S-pure และ BETAGRO เข้าไปในช่องทางค้าปลีกและค้าส่งมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย
หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเครือเบทาโกร มั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะมีรายได้อยู่ที่ 1 แสนล้านบาท เติบโตประมาณ 8% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้อยู่ที่กว่า 90,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการทำตลาดในประเทศประมาณ 85,000 ล้านบาท และตลาดต่างประเทศประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยในส่วนของอัตราการเติบโตที่วางไว้ 8% หากเปรียบเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมาถือว่ามีอัตราการเติบโตลดลง เนื่องจากก่อนหน้านี้เครือเบทาโกรจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 12-14% เพราะสภาพเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว ประกอบมีปัญหาโรคระบาดและภัยแล้ง จึงทำให้ต้องปรับภาพรวมรายได้ลดลง แต่หลังจากนี้เชื่อว่าสถานการณ์จะเริ่มปรับดีขึ้นตามดีมานด์ซัพพลาย
ออกมาปรับแผนรุกรอบด้านขนาดนี้เป้าหมายรายได้สิ้นปี 1 แสนล้านบาท น่าจะเป็นถึงได้ไม่ยาก เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเริ่มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งหากทำได้เบทาโกรจะถือเป็นของขวัญชิ้นสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจครบรอบ 50 ปีที่กำลังจะถึงในปี 2560 นี้ โดยแรกเริ่มการดำเนินธุรกิจเครือเบทาโกร ใช้งบในการจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจ คือ การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ด้วยการเปิดฟาร์มไก่ ฟาร์มสุกร โรงงานอาหารสัตว์ และโรงฟักไก่ จากความสำเร็จที่ได้รับมาตลาดระยะเวลากว่า 40 ปี ส่งผลให้ปัจจุบันเครือเบทาโกร กาลเป้นหนึ่งในผู้นำธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารครบวงจรของประเทศไทยครอบคลุมธุรกิจอาหารสัตว์ ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพ เพื่อการส่งออกและจำหน่ายในประเทศ
ข่าวเด่น